
ในสังคมการทำงานปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่เจอกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างหรือผลิตผลงานออกมา แล้วได้รับการเปรียบเทียบทั้งในเชิงของคุณภาพงาน และความรู้สึกต่างๆ ใน EP นี้พี่แท็บ กับพี่อ้อย มาชวนคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์ที่ทุกคนต้องเคยพบเห็นในสถานที่ทำงาน และต่อไปนี้ คือ 11 ข้อที่ผมได้เรียนรู้จากตอนนี้
1.นิยามคำว่าลูกรัก
– ถ้าในบริบทขององค์กรจะหมายถึงบุคคลที่เป็นที่รักของเจ้านาย ทุกอย่างที่ทำจะอยู่ในสายตาของเจ้านาย และมีความเอนเอียงเข้าหาซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเกิดจากสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าลูกรักอาจเกิดจากการปฏิบัติตัว การกระทำ หรือการสร้างบางอย่างให้เจ้านายเห็นและทำให้เจ้านายรู้สึกว่าบุคคลคนนี้มีความสามารถและได้ใจเราไปแล้ว
2.เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์
– สิ่งที่สำคัญเพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ ในเมื่อมีบุคคลที่สามารถแสดงออกให้เห็นว่าทำอะไรได้ และกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่แปลกที่คนที่มีอำนาจในองค์กร หรือเจ้านายจะชอบคนแบบนี้ เพราะสุดท้ายแล้วความสามารถด้าน Hard skill มันสามารถวัดค่าได้ แต่ความสามารถด้าน Soft skill จะเป็นตัวที่บอกว่าคนอื่นในองค์กรอยากจะทำงานกับบุคคลนั้นด้วยหรือไม่ เมื่อเราเป็นคนเก่งที่ทำงานเก่งแล้ว ก็จะต้องเป็นคนเก่งที่ทำงานได้ดีกับคนอื่นด้วย
3.ทุกคนเคยเป็นลูกรัก
– ท้ายที่สุดต่อให้นิยามคำว่าลูกรักจะเป็นแบบไหนความยุติธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีอยู่ในโลก บ่อยครั้งที่คนเรามักจะเคยได้รับอะไรที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพร่ำบอกว่าสิ่งนั้นคือ “ความโชคดี” หากแต่ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับหละ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ได้รับของสิ่งนั้นไปไม่ได้เราก็อาจจะมุมมองบางอย่างหรือมีด้านที่มองว่า “ไม่มีความยุติธรรม” เกิดขึ้น แล้วเพราะอะไรหละ นั้นก็เพราะสุดท้ายแล้วคำว่าโชคดีหรือความยุติธรรมมันอยู่ที่วิธีคิด และมุมมองของแต่ละคนนั้นเอง

4.มุมมองแบบไหนที่ทำให้เราเป็นคนที่มี EQ สูง
– อย่างแรกไม่ว่าเราจะเป็นหรือไม่เป็นลูกรัก สิ่งสำคัญที่คนอื่นจะมองเราคือ เรื่องของการสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจคนอื่น (ใจเขาใจเรา) หากเราเข้าใจคนอื่น หรือให้ใจคนอื่นแน่นอนมันย่อมดีต่อความรู้สึกต่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่มากก็น้อย ก่อนที่เราจะพูดอะไรกับใคร ให้เราคิดถึงจิตใจของคนอื่นก่อนเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงาน การออกความเห็นหรือเวลาพูดจากันและกัน หากแต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วการพัฒนา EQ โดยเฉพาะบริบทของคนทำงานมักจะเกิดขึ้นได้นั้น ส่วนใหญ่เริ่มจากเรื่องทักษะของการสื่อสาร หรือเรียกว่า “ศิลปะของการสื่อสาร” ยกตัวอย่างเช่น การชมก่อนติ เทียบกับการเปิดประเด็นที่ต้องการติแบบโท้งๆไปเลย คิดว่าคนที่ฟังจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน เมื่อถึงเวลาที่จะติหรือจะพูดอะไรให้คิดไว้เสมอว่า “ไม่มีใครอยากโดนด่า” ตลอดไปหรอก และไม่มีใครที่สามารถผูกขาดความอดทนได้เสมอ เราไม่รู้ว่าในแต่ละวันคนๆนั้นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไหนผ่านอะไรมาบ้าง ถ้ารู้ตัวว่าสื่อสารไม่เป็นต้องรีบแก้ไข และย้ำอีกครั้งโดยเฉพาะคนทำงาน “ไม่มีความสำเร็จของงานเรื่องไหนไม่มีลมใต้ปีก”
5.มีสติรู้ก่อนการทำหรือพูด
– ให้เราคิดไว้เสมอว่า การมีสติสามารถฝึกฝนกันได้แน่นอน เริ่มจากการลองปรับมุมมอง หากเป็นเราที่ถูกตำหนิ เราจะรู้สึกอย่างไร ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจบริบทของการเป็นผู้กระทำ และ การเป็นผู้ถูกกระทำ หากเรารู้สึกถึงความเจ็บปวด เราก็ต้องรู้จักทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ในบางเวลา บุคคลที่เราตำหนิไปอาจจะไม่ได้อยากจะให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น การตักเตือนด้วยความหวังดี แทนที่การตำหนิอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกๆดีเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่ายได้ แม้เราจะไม่เข้าข้าง แต่ขอแค่อยู่ข้างๆก็ยังดีพยายามทำความเข้าใจ และใส่ความเข้าใจลงไปในสถานการณ์นั้นๆ โดยอยู่บนเงื่อนไขและกติกาว่า “ทุกๆคนอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”
6.พูดอย่างไรให้สถานการณ์มันดีที่สุด
– จดจำไว้ว่าทุกอย่างที่รู้ และทุกอย่างที่เป็นไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่าง ทุกปัญหาที่เข้ามานั้นมันมี 2 แนวทางเสมอ ได้แก่ ปัญหาที่ต้องแก้ กับ ปัญหาที่ต้องยอมรับ เราควรพึงระลึกไว้เสมอว่าคำถามที่เราควรตอบคือ “เราจะจัดการอย่างไรให้เจ็บปวดน้อยที่สุด“ แนวคิดที่สำคัญคือ ค่อยๆเริ่มจากการมองภาพใกล้ๆ ก่อน ค่อยเป็นค่อยไป (คิดทีละวัน สู้ทีละวัน เดี๋ยวรอดทุกวัน by พี่อ้อย) และต้องมีสติในทุกๆวัน ถ้าสติหายให้หาวิธีเรียกมันกลับมา ปัญหาบางอย่างวางไว้ก่อน ให้เวลาค่อยๆบอก สุดท้ายเวลาจะทำให้เราชิน บางครั้งการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือตามอาการก็ไม่แย่ไปซะทีเดียว

7.ลูกรัก vs ลูกชัง
– แล้วเราจะสื่อสารกับเจ้านายอย่างไร เมื่อมีความรู้สึกว่าลูกรักกลายเป็นเด็กเส้น คำตอบง่ายๆ ก่อนที่จะสื่อสาร ให้เราคิดก่อนว่าการพูดของเรานั้นมันช่วยเหลือทีม และการทำงานได้หรือไม่ หากการพูดนั้นเมื่อพูดไปแล้วไม่มีประโยชน์ ลองคิดดูใหม่ว่าแล้วหากเราเลือกที่จะปล่อยไปได้ เราสามารถไปโฟกัสอย่างอื่นแทนได้ โดยเฉพาะการทำงาน ทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ความถูกต้องปกป้องเรา พยายามทำงานอย่าให้มีข้อบกพร่อง การทำเช่นนี้จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย และสุดท้ายเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้ หากสิ่งนั้นที่บุคคลอื่นเป็นไม่ได้กระทบกับตัวเรา เราลองวางปัญหานั้นไว้ แล้วลองถอยกลับมามองดูแล้วตอบคำถามตัวเองอีกครั้งว่าปัญหาในที่นี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ หรือแค่ยอมรับ
8.คนแบบไหนที่จะเป็นลูกรัก
– โดยปกติแล้วคนที่เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับว่าตัวเองมีลูกรัก แต่บุคลิกของบุคคลที่เจ้านายชอบคือ คนที่บอกอะไรไป สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง และมากกว่าที่คาดหวัง เป็นคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา และระหว่างทางสามารถเล่าให้ฟังได้ และอาจจะเป็นคนที่เป็นพร้อมจะอาสาในเรื่องต่างๆ พร้อมเรียนรู้และพยายามที่จะลองทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาสามารถทำให้สมความไว้วางใจของเจ้านาย และที่ขาดไม่ได้ก็จะวนกลับมาที่การสื่อสาร ว่าระหว่างทางเข้าใจว่าทำอะไร ติดปัญหาแบบไหน แก้ไขอย่างไร มีอะไรให้ช่วย ไม่ถือตัวและพร้อมเอ๋ยปากเพื่อขอความช่วยเหลือ
9.ความกดดันจากการเป็นลูกรัก
– คนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักของเจ้านายบางครั้งก็มีความกดดันอย่างหนักที่คนอื่นอาจจะไม่ได้รับรู้ด้วย เพราะอะไร นั้นก็เพราะถ้าหากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักทำบางอย่างผิดพลาด คนที่จะโดนก่อนก็คือคนที่เป็นเจ้านาย คนนอกจะมองว่า ”ยังไงคนนี้ก็ไม่โดนว่าหรอก ก็เป็นลูกรักนี้“ ยิ่งเป็นการโยนความกดดันไปที่บุคคลคนนั้น และด้วยความที่ว่าคนแบบนี้หากต้องทำงานใกล้ชิดเจ้านาย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องโฟกัสและพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ

10.คนแบบไหนที่อาจจะเป็นคนที่ถูกหมายหัว หรือลูกชังได้
– นอกเหนือจากความเป็นลูกรักแล้ว ก็จะมีคนอีกประเภทนึงที่เรียกง่ายๆว่าลูกชัง คนแบบไหนที่เจ้านาย เรียกว่าจะมี bias เบื้องต้น คือจะต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยบางอย่างที่อาจจะเกิดในคนผู้นั้นและแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เช่น อาจจะไม่มีความเคารพผู้อื่นหรือ เคารพเจ้านาย สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำความเคารพตลอด แต่คนที่ทำจะได้ใจคนอื่นกว่าอยู่แล้ว อาจจะเป็นคนที่มีแนวคิดที่ไม่ชอบความเห็นต่าง กร่าง พูดจาไม่ดีกับคนอื่น พูดแทรก และไม่ให้เกียรติกัน หรือเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันผู้อื่นได้ บุคลิกแบบนี้จะทำให้เรียกว่าเป็นที่หมายหัวของเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานได้ง่าย แต่การที่มีคนประเภทนี้อยู่สิ่งที่คนที่เป็นเจ้านายที่ดีจะต้องปฏิบัติก็คือ จะต้องพยายาม หาทางจัดการกับคนแบบนี้ ต้องดูว่างานแบบไหนเหมาะสมกับคนประเภทนี้นอกเหนือจากอุปนิสัยที่บอกไปก่อนหน้านี้ อีกนิสัยอย่างนึงของคนประเภทที่อาจจะเป็นลูกชัง ได้แก่ คนที่มักจะทำให้บรรยากาศในการทำงานหรือการประชุมเสียไป
11.คุณสมบัติของคนที่อาจจะได้เป็นผู้นำองค์กร ที่ใครๆก็อยากเข้าหา แม้ไม่ใช่ลูกรัก
– สุดท้ายแล้วในบริบทการทำงาน คนที่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานชอบและอยากจะทำงานด้วย อาจจะเป็นคนที่ไม่ต้องแสดงออกว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร แต่เป็นคนที่พร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะเรียนรู้ คนที่ถ่อมตัวเสมอ แม้กับคนที่สูงหรือต่ำกว่า และเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ
แล้วคุณอยากจะเป็นลูกรักหรือลูกชังหรือถ้าจะให้เลือกขอได้เป็นลูกน้องก็เพียงพอ

![[สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)](https://gapptrp.com/wp-content/uploads/2024/10/pexels-photo-3184465.jpeg?w=1024)
![[สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ](https://gapptrp.com/wp-content/uploads/2024/09/cznmcy1wcml2yxrll3jhd3bpegvsx2ltywdlcy93zwjzaxrlx2nvbnrlbnqvbhivchg3otuymjetaw1hz2uta3d5b2htzgeuanbn.webp?w=1024)
