Tag: podcast

  • [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    ในสังคมการทำงานปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่เจอกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างหรือผลิตผลงานออกมา แล้วได้รับการเปรียบเทียบทั้งในเชิงของคุณภาพงาน และความรู้สึกต่างๆ ใน EP นี้พี่แท็บ กับพี่อ้อย มาชวนคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์ที่ทุกคนต้องเคยพบเห็นในสถานที่ทำงาน และต่อไปนี้ คือ 11 ข้อที่ผมได้เรียนรู้จากตอนนี้

    – ถ้าในบริบทขององค์กรจะหมายถึงบุคคลที่เป็นที่รักของเจ้านาย ทุกอย่างที่ทำจะอยู่ในสายตาของเจ้านาย และมีความเอนเอียงเข้าหาซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเกิดจากสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าลูกรักอาจเกิดจากการปฏิบัติตัว การกระทำ หรือการสร้างบางอย่างให้เจ้านายเห็นและทำให้เจ้านายรู้สึกว่าบุคคลคนนี้มีความสามารถและได้ใจเราไปแล้ว

    – สิ่งที่สำคัญเพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ ในเมื่อมีบุคคลที่สามารถแสดงออกให้เห็นว่าทำอะไรได้ และกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่แปลกที่คนที่มีอำนาจในองค์กร หรือเจ้านายจะชอบคนแบบนี้ เพราะสุดท้ายแล้วความสามารถด้าน Hard skill มันสามารถวัดค่าได้ แต่ความสามารถด้าน Soft skill จะเป็นตัวที่บอกว่าคนอื่นในองค์กรอยากจะทำงานกับบุคคลนั้นด้วยหรือไม่ เมื่อเราเป็นคนเก่งที่ทำงานเก่งแล้ว ก็จะต้องเป็นคนเก่งที่ทำงานได้ดีกับคนอื่นด้วย

    – ท้ายที่สุดต่อให้นิยามคำว่าลูกรักจะเป็นแบบไหนความยุติธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีอยู่ในโลก บ่อยครั้งที่คนเรามักจะเคยได้รับอะไรที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพร่ำบอกว่าสิ่งนั้นคือ “ความโชคดี” หากแต่ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับหละ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ได้รับของสิ่งนั้นไปไม่ได้เราก็อาจจะมุมมองบางอย่างหรือมีด้านที่มองว่า “ไม่มีความยุติธรรม” เกิดขึ้น แล้วเพราะอะไรหละ นั้นก็เพราะสุดท้ายแล้วคำว่าโชคดีหรือความยุติธรรมมันอยู่ที่วิธีคิด และมุมมองของแต่ละคนนั้นเอง

    – อย่างแรกไม่ว่าเราจะเป็นหรือไม่เป็นลูกรัก สิ่งสำคัญที่คนอื่นจะมองเราคือ เรื่องของการสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจคนอื่น (ใจเขาใจเรา) หากเราเข้าใจคนอื่น หรือให้ใจคนอื่นแน่นอนมันย่อมดีต่อความรู้สึกต่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่มากก็น้อย ก่อนที่เราจะพูดอะไรกับใคร ให้เราคิดถึงจิตใจของคนอื่นก่อนเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงาน การออกความเห็นหรือเวลาพูดจากันและกัน หากแต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วการพัฒนา EQ โดยเฉพาะบริบทของคนทำงานมักจะเกิดขึ้นได้นั้น ส่วนใหญ่เริ่มจากเรื่องทักษะของการสื่อสาร หรือเรียกว่า “ศิลปะของการสื่อสาร” ยกตัวอย่างเช่น การชมก่อนติ เทียบกับการเปิดประเด็นที่ต้องการติแบบโท้งๆไปเลย คิดว่าคนที่ฟังจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน เมื่อถึงเวลาที่จะติหรือจะพูดอะไรให้คิดไว้เสมอว่า “ไม่มีใครอยากโดนด่า” ตลอดไปหรอก และไม่มีใครที่สามารถผูกขาดความอดทนได้เสมอ เราไม่รู้ว่าในแต่ละวันคนๆนั้นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไหนผ่านอะไรมาบ้าง ถ้ารู้ตัวว่าสื่อสารไม่เป็นต้องรีบแก้ไข และย้ำอีกครั้งโดยเฉพาะคนทำงาน “ไม่มีความสำเร็จของงานเรื่องไหนไม่มีลมใต้ปีก”

    – ให้เราคิดไว้เสมอว่า การมีสติสามารถฝึกฝนกันได้แน่นอน เริ่มจากการลองปรับมุมมอง หากเป็นเราที่ถูกตำหนิ เราจะรู้สึกอย่างไร ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจบริบทของการเป็นผู้กระทำ และ การเป็นผู้ถูกกระทำ หากเรารู้สึกถึงความเจ็บปวด เราก็ต้องรู้จักทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ในบางเวลา บุคคลที่เราตำหนิไปอาจจะไม่ได้อยากจะให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น การตักเตือนด้วยความหวังดี แทนที่การตำหนิอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกๆดีเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่ายได้ แม้เราจะไม่เข้าข้าง แต่ขอแค่อยู่ข้างๆก็ยังดีพยายามทำความเข้าใจ และใส่ความเข้าใจลงไปในสถานการณ์นั้นๆ โดยอยู่บนเงื่อนไขและกติกาว่า “ทุกๆคนอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”

    – จดจำไว้ว่าทุกอย่างที่รู้ และทุกอย่างที่เป็นไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่าง ทุกปัญหาที่เข้ามานั้นมันมี 2 แนวทางเสมอ ได้แก่ ปัญหาที่ต้องแก้ กับ ปัญหาที่ต้องยอมรับ เราควรพึงระลึกไว้เสมอว่าคำถามที่เราควรตอบคือ “เราจะจัดการอย่างไรให้เจ็บปวดน้อยที่สุด“ แนวคิดที่สำคัญคือ ค่อยๆเริ่มจากการมองภาพใกล้ๆ ก่อน ค่อยเป็นค่อยไป (คิดทีละวัน สู้ทีละวัน เดี๋ยวรอดทุกวัน by พี่อ้อย) และต้องมีสติในทุกๆวัน ถ้าสติหายให้หาวิธีเรียกมันกลับมา ปัญหาบางอย่างวางไว้ก่อน ให้เวลาค่อยๆบอก สุดท้ายเวลาจะทำให้เราชิน บางครั้งการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือตามอาการก็ไม่แย่ไปซะทีเดียว

    – แล้วเราจะสื่อสารกับเจ้านายอย่างไร เมื่อมีความรู้สึกว่าลูกรักกลายเป็นเด็กเส้น คำตอบง่ายๆ ก่อนที่จะสื่อสาร ให้เราคิดก่อนว่าการพูดของเรานั้นมันช่วยเหลือทีม และการทำงานได้หรือไม่ หากการพูดนั้นเมื่อพูดไปแล้วไม่มีประโยชน์ ลองคิดดูใหม่ว่าแล้วหากเราเลือกที่จะปล่อยไปได้ เราสามารถไปโฟกัสอย่างอื่นแทนได้ โดยเฉพาะการทำงาน ทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ความถูกต้องปกป้องเรา พยายามทำงานอย่าให้มีข้อบกพร่อง การทำเช่นนี้จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย และสุดท้ายเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้ หากสิ่งนั้นที่บุคคลอื่นเป็นไม่ได้กระทบกับตัวเรา เราลองวางปัญหานั้นไว้ แล้วลองถอยกลับมามองดูแล้วตอบคำถามตัวเองอีกครั้งว่าปัญหาในที่นี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ หรือแค่ยอมรับ

    – โดยปกติแล้วคนที่เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับว่าตัวเองมีลูกรัก แต่บุคลิกของบุคคลที่เจ้านายชอบคือ คนที่บอกอะไรไป สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง และมากกว่าที่คาดหวัง เป็นคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา และระหว่างทางสามารถเล่าให้ฟังได้ และอาจจะเป็นคนที่เป็นพร้อมจะอาสาในเรื่องต่างๆ พร้อมเรียนรู้และพยายามที่จะลองทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาสามารถทำให้สมความไว้วางใจของเจ้านาย และที่ขาดไม่ได้ก็จะวนกลับมาที่การสื่อสาร ว่าระหว่างทางเข้าใจว่าทำอะไร ติดปัญหาแบบไหน แก้ไขอย่างไร มีอะไรให้ช่วย ไม่ถือตัวและพร้อมเอ๋ยปากเพื่อขอความช่วยเหลือ

    – คนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักของเจ้านายบางครั้งก็มีความกดดันอย่างหนักที่คนอื่นอาจจะไม่ได้รับรู้ด้วย เพราะอะไร นั้นก็เพราะถ้าหากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักทำบางอย่างผิดพลาด คนที่จะโดนก่อนก็คือคนที่เป็นเจ้านาย คนนอกจะมองว่า ”ยังไงคนนี้ก็ไม่โดนว่าหรอก ก็เป็นลูกรักนี้“ ยิ่งเป็นการโยนความกดดันไปที่บุคคลคนนั้น และด้วยความที่ว่าคนแบบนี้หากต้องทำงานใกล้ชิดเจ้านาย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องโฟกัสและพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ

    – นอกเหนือจากความเป็นลูกรักแล้ว ก็จะมีคนอีกประเภทนึงที่เรียกง่ายๆว่าลูกชัง คนแบบไหนที่เจ้านาย เรียกว่าจะมี bias เบื้องต้น คือจะต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยบางอย่างที่อาจจะเกิดในคนผู้นั้นและแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เช่น อาจจะไม่มีความเคารพผู้อื่นหรือ เคารพเจ้านาย สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำความเคารพตลอด แต่คนที่ทำจะได้ใจคนอื่นกว่าอยู่แล้ว อาจจะเป็นคนที่มีแนวคิดที่ไม่ชอบความเห็นต่าง กร่าง พูดจาไม่ดีกับคนอื่น พูดแทรก และไม่ให้เกียรติกัน หรือเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันผู้อื่นได้ บุคลิกแบบนี้จะทำให้เรียกว่าเป็นที่หมายหัวของเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานได้ง่าย แต่การที่มีคนประเภทนี้อยู่สิ่งที่คนที่เป็นเจ้านายที่ดีจะต้องปฏิบัติก็คือ จะต้องพยายาม หาทางจัดการกับคนแบบนี้ ต้องดูว่างานแบบไหนเหมาะสมกับคนประเภทนี้นอกเหนือจากอุปนิสัยที่บอกไปก่อนหน้านี้ อีกนิสัยอย่างนึงของคนประเภทที่อาจจะเป็นลูกชัง ได้แก่ คนที่มักจะทำให้บรรยากาศในการทำงานหรือการประชุมเสียไป

    – สุดท้ายแล้วในบริบทการทำงาน คนที่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานชอบและอยากจะทำงานด้วย อาจจะเป็นคนที่ไม่ต้องแสดงออกว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร แต่เป็นคนที่พร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะเรียนรู้ คนที่ถ่อมตัวเสมอ แม้กับคนที่สูงหรือต่ำกว่า และเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ

    แล้วคุณอยากจะเป็นลูกรักหรือลูกชังหรือถ้าจะให้เลือกขอได้เป็นลูกน้องก็เพียงพอ

  • [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

    [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

    💡 ขอขอบคุณแรงบันดาลใจจาก 💡

    💚💛 Alljit Podcast – Learn & share [Grouding การกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แบบจิตวิทยา] 💚💛

    ——————————————————

    💜 หากจะบอกว่าในยุคปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลนั้นง่ายขึ้น รวดเร็วมากขึ้น นั้นเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน และด้วยไอความรวดเร็วนี้เอง มันทำให้คนอย่างเราๆนั้น เชื่อมต่อกับคนอื่นๆรอบตัวได้ง่ายมาก ทำให้บางครั้งบทสนทนาก็เกิดขึ้น แล้วก็หายไปดื้อๆเลยก็มี พูดๆอยู่เปลี่ยนเรื่อง คุยๆอยู่หาย 555+ จากการเชื่อมต่อแบบนี้เอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ คนเราอยู่กับปัจจุบันขณะของตัวเองน้อยลงด้วยเช่นกัน

    ❤️ คนในยุคปัจจุบัน ขาดการจดจ่อกับสิ่งอะไรได้นานๆ ยิ่งยุคนี้ที่ social media และ Content ต่างๆบนโลกออนไลน์ มักแต่จะมีสิ่งที่ต้องการให้เราสนใจ และพยายามดึงดูุดความสนใจของเราโดยเฉพาะ

    และด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้เอง ทำให้คนนี้ยุคนี้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆได้นาน สาเหตุที่สำคัญนอกเหนือจากสิ่งเร้าที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีสาเหตุที่สำคัญอื่นๆอีกอันได้แก่

    👉 Information Overload – ปรากฏการณ์ที่คนเราได้รับข้อมูลมากเกินไป มากจนเกินขอบเขตของสิ่งที่รับได้ในแต่ละวัน จนทำให้บางครั้งเวลาเราได้รับข้อมูลบางอย่าง แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่าปวดหัว

    👉 Fear Of Missing Out (FOMO) – ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อเรา เมื่อเรากลัวว่าจะพลาดโอกาสหรือประสบการณ์บางอย่าง ที่คนอื่นกำลังได้รับ รอบๆตัวเรา หรือ นิยามสั่นๆคือการพยายามวิ่งไล่ตามสังคม

    ☀️☀️ การทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกันนั้นไม่เหมาะสมกับสมองของคนเรา เนื่องด้วยสมองของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับการทำอะไรแบบนั้น เป็นผลที่ทำให้บางครั้งเมื่อรับอะไรมากจนเกิดไปทำให้เรารู้สึกปวดหัวได้ และอีกอย่างหนึ่ง การที่เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ หากเมื่อเราทำพฤติกรรมเหล่านี้ไปนานวันเข้า สมองจะเริ่มเรียนรู้จากพฤติกรรมของตัวเรา เมื่อเห็นว่าเราแบบไหนบ่อยๆ ก็จะทำเป็นเหมือนกิจวัตรไป ทำให้ส่งผลให้เราเป็นสมาธิสั้นเทียม มักจะส่งผลต่องาน หรือการใช้ชีวิต เมื่อไม่มีสมาธิในการทำงาน ทำให้ส่งผลเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญ อาจนำไปสู่การทำงาน หรือทำอะไรก็ตามล่าช้า

    👉👉 ซึ่งสุดท้ายแล้วมองว่าการที่คนเราจะจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับจิตใจและความแข็งแกร่งของภายในของตัวเราเอง

    ——————————————————

    🌟สงบใจ รู้สึกตัว ทุกขณะแห่งชีวิต🌟

    การจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ถ้าให้นิยามง่ายๆ คือ การมีสติ และรับรู้สิ่งที่อยู่ภายในตัว และภายนอกตัวเรา (ความตระหนักรู้) ต้องรู้ทันจิตใจตัวเอง และรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้

    โดยมีแนวคิดหลากหลายแนวคิดที่สามารถทำให้เราสามารถรับรู้ปัจจุบัน และอยู่กับปัจจุบันของตนเองได้ อาทิ

    1️⃣ หลักการ Hear & Now หรือ การมีสติในปัจจุบัน (Mindfulness)

    เป็นแนวคิดที่เน้น การให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ โดยให้ความสนใจ 3 อย่างได้แก่ สนใจกับความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ของตัวเราเอง โดยปราศจากการตัดสินหรือการหลงติดในอดีตหรืออนาคต

    2️⃣ หลักการเซน (Zen)

    เป็นหลักแนวคิดที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ การหายใจด้วยความมีสติ เมื่อทำได้ถึงจุดหนึ่ง จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง มองเห็นความจริงปรากฏ เมื่อปราศจากอคติ จิตจะเปิดกว้าง พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้

    ——————————————————

    🌟ไม่คิดถึงอดีต ไม่กังวลอนาคต🌟

    เมื่อเราฝึกสมาธิ หรือทำให้ตัวเราเองอยู่กับปัจจุบันได้ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ ทำให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น สามารถที่จะรู้ทันความคิด และอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี สามารถ Focus กับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า และผลพลอยได้ เราจะได้ดื่มด่ำกับปัจจุบัน และทำให้เราใกล้ชิดกับคนรอบข้างมากขึ้น

    ตรงกันข้ามหากเราเมื่อเราไม่อยู่กับปัจจุบัน จะส่งผลเสียให้กับตัวเราได้ ซึ่งสาเหตุของการไม่อยู่กับปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่

    การคิดถึงอดีต เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังอดีต สิ่งที่เราจะเห็นคือสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป เราจะรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้น และมีการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เกิดความเสียดาย รวมถึงความนึกถึงและความโหยหาอดีต

    การคิดถึงอนาคต เมื่อเราคิดถึงอนาคต จะเริ่มมีการตั้งเป้าหมาย ความกดดัน ความคาดหวังที่สูง จะถูกทำให้ยึดติดกับความเป็นจริง อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด ส่งผลทำให้นอนไม่หลับเกิดเป็นปัญหาสุขภาพได้

    ——————————————————

    🌟ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราคงที่🌟

    สุดท้ายแล้ว หากเราสามารถดึงตัวเองให้กับมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว จะทำให้เรามีสติ ความรู้สึกนึกคิดทันต่อเหตุการณ์ และสามารถที่จะ Focus กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัว ณ ปัจจุบันขณะได้ และสามารถดื่มด่ำกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

    ซึ่งเทคนิคหรือวิธีที่แนะนำ คือ

    🔥🔥🔥 เทคนิค “54321” 🔥🔥🔥

    เทคนิค “54321” เป็นวิธีการ grounding ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว และเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ที่รู้สึกวิตกกังวลหรือเครียด โดยเทคนิคนี้จะช่วยดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสของเราทั้ง 5

    วิธีการที่สามารถทำได้ทันที ทำที่ไหนก็ได้ ดังนี้

    1️⃣ ให้มองหา 5 สิ่งที่มองเห็น : มองไปรอบๆตัวและระบุสิ่งของหรืออะไรก็ตามที่เราเห็น 5 อย่าง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ เสื้อผ้า

    2️⃣ ให้สัมผัส 4 สิ่งที่สัมผัสได้ : สัมผัสสิ่งของรอบตัวและระบุสิ่งที่เรารู้สึกได้ 4 อย่าง เช่น ความนุ่มของหมอน ความเย็นของขวดน้ำ ความหยาบของกระดาษ

    3️⃣ ให้ฟัง 3 สิ่งที่ได้ยิน : ฟังเสียงรอบตัวและระบุเสียงที่เราได้ยิน 3 อย่าง เช่น เสียงนาฬิกาเดิน เสียงนกร้อง เสียงลมพัด

    4️⃣ ให้ดม 2 สิ่งที่สามารถได้กลิ่น : ดมกลิ่นรอบตัวและระบุกลิ่นที่คุณได้กลิ่น 2 อย่าง เช่น กลิ่นกาแฟ กลิ่นน้ำหอม

    5️⃣ ให้นึกถึงหรือลิ้มรส 1 รสชาติที่สามารถทำได้ : ถ้าเป็นไปได้ ให้ลิ้มรสอะไรบางอย่าง และนึกถึงรสชาตินั้น เช่น ข้าวมื้อเมื่อสักครู่นี้หรือน้ำดื่มที่กำลังดื่ม แล้วสังเกตรสชาติของมัน

    ——————————————————

    👉👉และสุดท้ายเมื่อทำแล้วสิ่งที่จะได้คือ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

    💚การดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ความสนใจมาอยู่กับสิ่งรอบๆตัวเราแทน

    💛ช่วยในเรื่องของการลดความวิตกกังวล เพราะ ใจเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีต และ อนาคต ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งนั้น

    💜ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย เพราะ เมื่ออยู่กับปัจจุบัน ชีวิตเราจะรู้ว่าต้องทำอะไร มีสติสมาธิมากขึ้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นนั้นเอง

    หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีของทุกคน

    ขอบคุณและสวัสดีครับ 🙏🏻❤️