Category: podcast

  • [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    ในสังคมการทำงานปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่เจอกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างหรือผลิตผลงานออกมา แล้วได้รับการเปรียบเทียบทั้งในเชิงของคุณภาพงาน และความรู้สึกต่างๆ ใน EP นี้พี่แท็บ กับพี่อ้อย มาชวนคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์ที่ทุกคนต้องเคยพบเห็นในสถานที่ทำงาน และต่อไปนี้ คือ 11 ข้อที่ผมได้เรียนรู้จากตอนนี้

    – ถ้าในบริบทขององค์กรจะหมายถึงบุคคลที่เป็นที่รักของเจ้านาย ทุกอย่างที่ทำจะอยู่ในสายตาของเจ้านาย และมีความเอนเอียงเข้าหาซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเกิดจากสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าลูกรักอาจเกิดจากการปฏิบัติตัว การกระทำ หรือการสร้างบางอย่างให้เจ้านายเห็นและทำให้เจ้านายรู้สึกว่าบุคคลคนนี้มีความสามารถและได้ใจเราไปแล้ว

    – สิ่งที่สำคัญเพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ ในเมื่อมีบุคคลที่สามารถแสดงออกให้เห็นว่าทำอะไรได้ และกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่แปลกที่คนที่มีอำนาจในองค์กร หรือเจ้านายจะชอบคนแบบนี้ เพราะสุดท้ายแล้วความสามารถด้าน Hard skill มันสามารถวัดค่าได้ แต่ความสามารถด้าน Soft skill จะเป็นตัวที่บอกว่าคนอื่นในองค์กรอยากจะทำงานกับบุคคลนั้นด้วยหรือไม่ เมื่อเราเป็นคนเก่งที่ทำงานเก่งแล้ว ก็จะต้องเป็นคนเก่งที่ทำงานได้ดีกับคนอื่นด้วย

    – ท้ายที่สุดต่อให้นิยามคำว่าลูกรักจะเป็นแบบไหนความยุติธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีอยู่ในโลก บ่อยครั้งที่คนเรามักจะเคยได้รับอะไรที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพร่ำบอกว่าสิ่งนั้นคือ “ความโชคดี” หากแต่ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับหละ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ได้รับของสิ่งนั้นไปไม่ได้เราก็อาจจะมุมมองบางอย่างหรือมีด้านที่มองว่า “ไม่มีความยุติธรรม” เกิดขึ้น แล้วเพราะอะไรหละ นั้นก็เพราะสุดท้ายแล้วคำว่าโชคดีหรือความยุติธรรมมันอยู่ที่วิธีคิด และมุมมองของแต่ละคนนั้นเอง

    – อย่างแรกไม่ว่าเราจะเป็นหรือไม่เป็นลูกรัก สิ่งสำคัญที่คนอื่นจะมองเราคือ เรื่องของการสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจคนอื่น (ใจเขาใจเรา) หากเราเข้าใจคนอื่น หรือให้ใจคนอื่นแน่นอนมันย่อมดีต่อความรู้สึกต่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่มากก็น้อย ก่อนที่เราจะพูดอะไรกับใคร ให้เราคิดถึงจิตใจของคนอื่นก่อนเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงาน การออกความเห็นหรือเวลาพูดจากันและกัน หากแต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วการพัฒนา EQ โดยเฉพาะบริบทของคนทำงานมักจะเกิดขึ้นได้นั้น ส่วนใหญ่เริ่มจากเรื่องทักษะของการสื่อสาร หรือเรียกว่า “ศิลปะของการสื่อสาร” ยกตัวอย่างเช่น การชมก่อนติ เทียบกับการเปิดประเด็นที่ต้องการติแบบโท้งๆไปเลย คิดว่าคนที่ฟังจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน เมื่อถึงเวลาที่จะติหรือจะพูดอะไรให้คิดไว้เสมอว่า “ไม่มีใครอยากโดนด่า” ตลอดไปหรอก และไม่มีใครที่สามารถผูกขาดความอดทนได้เสมอ เราไม่รู้ว่าในแต่ละวันคนๆนั้นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไหนผ่านอะไรมาบ้าง ถ้ารู้ตัวว่าสื่อสารไม่เป็นต้องรีบแก้ไข และย้ำอีกครั้งโดยเฉพาะคนทำงาน “ไม่มีความสำเร็จของงานเรื่องไหนไม่มีลมใต้ปีก”

    – ให้เราคิดไว้เสมอว่า การมีสติสามารถฝึกฝนกันได้แน่นอน เริ่มจากการลองปรับมุมมอง หากเป็นเราที่ถูกตำหนิ เราจะรู้สึกอย่างไร ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจบริบทของการเป็นผู้กระทำ และ การเป็นผู้ถูกกระทำ หากเรารู้สึกถึงความเจ็บปวด เราก็ต้องรู้จักทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ในบางเวลา บุคคลที่เราตำหนิไปอาจจะไม่ได้อยากจะให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น การตักเตือนด้วยความหวังดี แทนที่การตำหนิอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกๆดีเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่ายได้ แม้เราจะไม่เข้าข้าง แต่ขอแค่อยู่ข้างๆก็ยังดีพยายามทำความเข้าใจ และใส่ความเข้าใจลงไปในสถานการณ์นั้นๆ โดยอยู่บนเงื่อนไขและกติกาว่า “ทุกๆคนอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”

    – จดจำไว้ว่าทุกอย่างที่รู้ และทุกอย่างที่เป็นไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่าง ทุกปัญหาที่เข้ามานั้นมันมี 2 แนวทางเสมอ ได้แก่ ปัญหาที่ต้องแก้ กับ ปัญหาที่ต้องยอมรับ เราควรพึงระลึกไว้เสมอว่าคำถามที่เราควรตอบคือ “เราจะจัดการอย่างไรให้เจ็บปวดน้อยที่สุด“ แนวคิดที่สำคัญคือ ค่อยๆเริ่มจากการมองภาพใกล้ๆ ก่อน ค่อยเป็นค่อยไป (คิดทีละวัน สู้ทีละวัน เดี๋ยวรอดทุกวัน by พี่อ้อย) และต้องมีสติในทุกๆวัน ถ้าสติหายให้หาวิธีเรียกมันกลับมา ปัญหาบางอย่างวางไว้ก่อน ให้เวลาค่อยๆบอก สุดท้ายเวลาจะทำให้เราชิน บางครั้งการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือตามอาการก็ไม่แย่ไปซะทีเดียว

    – แล้วเราจะสื่อสารกับเจ้านายอย่างไร เมื่อมีความรู้สึกว่าลูกรักกลายเป็นเด็กเส้น คำตอบง่ายๆ ก่อนที่จะสื่อสาร ให้เราคิดก่อนว่าการพูดของเรานั้นมันช่วยเหลือทีม และการทำงานได้หรือไม่ หากการพูดนั้นเมื่อพูดไปแล้วไม่มีประโยชน์ ลองคิดดูใหม่ว่าแล้วหากเราเลือกที่จะปล่อยไปได้ เราสามารถไปโฟกัสอย่างอื่นแทนได้ โดยเฉพาะการทำงาน ทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ความถูกต้องปกป้องเรา พยายามทำงานอย่าให้มีข้อบกพร่อง การทำเช่นนี้จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย และสุดท้ายเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้ หากสิ่งนั้นที่บุคคลอื่นเป็นไม่ได้กระทบกับตัวเรา เราลองวางปัญหานั้นไว้ แล้วลองถอยกลับมามองดูแล้วตอบคำถามตัวเองอีกครั้งว่าปัญหาในที่นี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ หรือแค่ยอมรับ

    – โดยปกติแล้วคนที่เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับว่าตัวเองมีลูกรัก แต่บุคลิกของบุคคลที่เจ้านายชอบคือ คนที่บอกอะไรไป สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง และมากกว่าที่คาดหวัง เป็นคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา และระหว่างทางสามารถเล่าให้ฟังได้ และอาจจะเป็นคนที่เป็นพร้อมจะอาสาในเรื่องต่างๆ พร้อมเรียนรู้และพยายามที่จะลองทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาสามารถทำให้สมความไว้วางใจของเจ้านาย และที่ขาดไม่ได้ก็จะวนกลับมาที่การสื่อสาร ว่าระหว่างทางเข้าใจว่าทำอะไร ติดปัญหาแบบไหน แก้ไขอย่างไร มีอะไรให้ช่วย ไม่ถือตัวและพร้อมเอ๋ยปากเพื่อขอความช่วยเหลือ

    – คนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักของเจ้านายบางครั้งก็มีความกดดันอย่างหนักที่คนอื่นอาจจะไม่ได้รับรู้ด้วย เพราะอะไร นั้นก็เพราะถ้าหากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักทำบางอย่างผิดพลาด คนที่จะโดนก่อนก็คือคนที่เป็นเจ้านาย คนนอกจะมองว่า ”ยังไงคนนี้ก็ไม่โดนว่าหรอก ก็เป็นลูกรักนี้“ ยิ่งเป็นการโยนความกดดันไปที่บุคคลคนนั้น และด้วยความที่ว่าคนแบบนี้หากต้องทำงานใกล้ชิดเจ้านาย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องโฟกัสและพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ

    – นอกเหนือจากความเป็นลูกรักแล้ว ก็จะมีคนอีกประเภทนึงที่เรียกง่ายๆว่าลูกชัง คนแบบไหนที่เจ้านาย เรียกว่าจะมี bias เบื้องต้น คือจะต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยบางอย่างที่อาจจะเกิดในคนผู้นั้นและแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เช่น อาจจะไม่มีความเคารพผู้อื่นหรือ เคารพเจ้านาย สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำความเคารพตลอด แต่คนที่ทำจะได้ใจคนอื่นกว่าอยู่แล้ว อาจจะเป็นคนที่มีแนวคิดที่ไม่ชอบความเห็นต่าง กร่าง พูดจาไม่ดีกับคนอื่น พูดแทรก และไม่ให้เกียรติกัน หรือเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันผู้อื่นได้ บุคลิกแบบนี้จะทำให้เรียกว่าเป็นที่หมายหัวของเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานได้ง่าย แต่การที่มีคนประเภทนี้อยู่สิ่งที่คนที่เป็นเจ้านายที่ดีจะต้องปฏิบัติก็คือ จะต้องพยายาม หาทางจัดการกับคนแบบนี้ ต้องดูว่างานแบบไหนเหมาะสมกับคนประเภทนี้นอกเหนือจากอุปนิสัยที่บอกไปก่อนหน้านี้ อีกนิสัยอย่างนึงของคนประเภทที่อาจจะเป็นลูกชัง ได้แก่ คนที่มักจะทำให้บรรยากาศในการทำงานหรือการประชุมเสียไป

    – สุดท้ายแล้วในบริบทการทำงาน คนที่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานชอบและอยากจะทำงานด้วย อาจจะเป็นคนที่ไม่ต้องแสดงออกว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร แต่เป็นคนที่พร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะเรียนรู้ คนที่ถ่อมตัวเสมอ แม้กับคนที่สูงหรือต่ำกว่า และเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ

    แล้วคุณอยากจะเป็นลูกรักหรือลูกชังหรือถ้าจะให้เลือกขอได้เป็นลูกน้องก็เพียงพอ

  • HIGHER SELF [3]

    ตอนที่ 3 : กระบวนการฝึกฝน Higher Self และการปรับใช้ทำงานร่วมกับ Manifest

    ——————————————————

    💚

    หลังจากที่ใน 2 ตอนก่อนหน้านี้เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า Higher Self หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราคืออะไรกันแน่ ไปแล้ว รวมทั้งก็ได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Higher Self กับ Manifest กันไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทีนี้เราจะมาดูกันว่า แล้วการฝึกฝนเพื่อให้ภายในของตัวเราเตรียมพร้อมกับการเข้าสู่การเชื่อมต่อกับ High Self นั้นมีวิธีการแบบไหนกันบ้าง และต้องทำอย่างไร เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงตัวตนที่สูงส่งกว่านั้นได้

    ——————————————————

    ❤️

    อย่างที่ทุกท่านทราบเมื่อเราเข้าใจถึงพื้นฐานของ Higher Self และ Manifest แล้ว ในตอนท้ายเราจะมาลองดูกันว่า แล้วขั้นตอนต่อไปที่เราจะการฝึกและทำงานร่วมกับทั้งสองแนวคิดเพื่อพัฒนาตัวเองและสร้างชีวิตที่เราปรารถนาอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร ทั้ง 2 แนวคิดสามารถทำงานได้ด้วยกันจริงหรือไม่ เราลองมาหาคำตอบไปด้วยกันครับ

    ——————————————————

    กระบวนการฝึกฝน เพื่อเชื่อมต่อกับ Higher Self 

    อย่างแรกสำหรับการฝึกเชื่อมต่อกับ Higher Self นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลารวมถึงความอดทนต่อกระบวนการนั้นๆด้วย โดยวันนี้เราจะพยายามหยิบจับเทคนิคที่คิดว่า เมื่อนำมาใช้แล้ว สามารถต่อยอดได้ และสามารถนำมาปรับใช้ได้กับผู้อ่านทุกท่าน เป็นวิธีการที่คิดว่าง่ายต่อการฝึกฝนสำหรับผู้เริ่มต้น โดยมีด้วยกัน 3 เทคนิคดังนี้ครับ

    🌟

    ทุกท่านลองใช้เวลาเงียบ ๆ เพื่อทำการนั่งสมาธิ อยู่กับตนเอง กำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความคิดที่วุ่นวาย และให้ร่างกายของเราได้ฟังเสียงจากภายในตัวของเราเอง เมื่อสภาพแวดล้อมเงียบสงบ ร่างกายได้อยู่คู่กับจิตใจ ภายในตัวเราได้ใกล้ชิดกับความเงียบสงบนี้เอง จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เราได้เข้าใกล้กับ Higher Self ได้มากขึ้น

    ☀️

    การเขียนบันทึกอย่างเป็นประจำเกี่ยวกับความรู้สึก นึกคิดของตัวเรา และความสงสัยที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลา รวมถึงคำถามที่เกิดขึ้นในขณะที่มีสมาธิกับตัวเรานั้นหรือที่มันเกิดขึ้นมาในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาที่นึกได้ การที่เราได้จดมันลงไปในหนังสือ สมุด หรือแม้แต่ที่ใดสักที่หนึ่ง จะช่วยส่งเสริมให้ตัวตนของเราเชื่อมต่อกับความรู้สึกและความต้องการที่ลึกซึ้งภายในจิตใจของเราได้

    ✨

    ข้อนี้อาจจะบอกได้เลยว่าเป็นข้อที่ยากที่สุดในบรรดา 3 ข้อ และเป็นข้อที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราพยายามเรียนรู้ และฝึกฝนกับ 2 ข้อที่ผ่านมาได้แล้ว นั้นคือการทบทวนตนเอง เมื่อเราได้อยู่กับตัวเอง จิตใจมั่นคงและมีสมาธิมากขึ้น จนมีคำถาม หรือความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ให้ลองใช้เวลาบางส่วน อยู่กับตัวเอง พยายามทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และปัจจุบันขณะที่เป็นอยู่นี้ ลองสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป และลองถามตัวเองว่า “สิ่งที่กำลังทำในตอนนี้คือสิ่งที่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของตัวตนของเราหรือไม่?” ไม่ต้องรีบหาคำตอบ ทบทวนและพยายามฝึกฝนตัวเองไปในทุกๆวัน สังเกตการเปลี่ยนแปลง แล้วสักวันใดวันหนึ่ง คำตอบที่เราตามหาจะออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และเราจะรู้ได้ด้วยตนเอง

    ——————————————————

    ที่นี้หลังจากรู้แล้วว่ากระบวนการของการฝึกฝน Higher Self มีวิธีการและเทคนิคอย่างไรแล้วคราวนี้มาถึงบทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้กันแล้ว 

    ——————————————————

    การนำ Higher Self มาใช้ร่วมกับ Manifest 

     หลังจากที่ทุกท่านได้ทดลองฝึกฝนเทคนิคข้างต้นไปกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self ของตัวเองได้ ค้นพบคำตอบนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตั้งเจตนารมณ์ ความตั้งใจ สำหรับการ Manifest เพื่อสิ่งที่ทุกท่านปรารถนา ในกระบวนการนี้จะมีความหมายและพลังมากขึ้น เพราะตอนนี้เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราต้องการจากตัวตนของเรานั้นมาจากความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ความปรารถนาชั่วคราวหรือความคาดหวังจากภายนอกแค่นั้น ในครั้งนี้มันแตกต่างไปจากเดิม เราได้เรียนรู้และจะใช้กับแรงปรารถนานี้ โดยการที่ใช้ทั้ง Higher Self ตัวตนที่สูงส่งกว่า มาขับเคลื่อน Manifest สิ่งที่เราปรารถนา ซึ่งกระบวนการในบทสรุปสุดท้ายนี้จะมีเทคนิค หรือขั้นตอนดังนี้

    🙏🏻

     ความตั้งใจที่สอดคล้องกับ Higher Self : หลังจากที่เราค้นพบว่าเราต้องการอะไรจากชีวิตอย่างแท้จริงจาก Higher Self ทุกท่านสามารถใช้ความต้องการเหล่านั้นเพื่อ Manifest สิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของเราได้ เช่น การดึงดูดความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่ดี / การทำงานที่สร้างความสุข / การมีชีวิตที่สมดุล / การมีเพื่อนรอบตัวที่ช่วยเหลือกันและกัน

    👑

     การแสดงภาพ Visualization : เป็นการคิดถึงภาพสิ่งที่เราต้องการในขณะที่เรามีสมาธิ ได้อยู่กับตัวเอง หรือเรียกว่าได้เชื่อมต่อกับ Higher Self เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมพลังให้กับการ Manifest จิตวิญญาณหรือภาพในร่างกายของเราจะตอบสนองความต้องการนั้น ที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความมั่นใจและความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ

    🧭

     ความเชื่อมั่น confidence : และท้ายที่สุด การสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่ Manifest จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม เพราะมันสอดคล้องกับตัวตนและเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเราเอง

    ——————————————————

    ⚡️

    สรุปสุดท้ายสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

    ⚡️

    การฝึกเชื่อมต่อกับ Higher Self และการใช้พลังของ Manifest เป็นกระบวนการที่เสริมพลังกันและกัน เมื่อคุณรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณและสิ่งที่คุณต้องการจากชีวิต การดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามาจะง่ายขึ้น และคุณจะสามารถใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความสมดุล และความสำเร็จที่แท้จริง

    ——————————————————

    👉
    👉
    👉

    ขอขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านจนจบนะครับ ได้แต่หวังว่าทั้ง 3 ตอนที่ผ่านมาผู้อ่านทุกท่านจะได้รับความรู้ หรือเทคนิค ในการค้นหาตัวตนที่สูงส่งกว่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่จะสามารถไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ

    ขอให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งดีครับ
    สวัสดีครับ 

    🙏🏻

    #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า

    💛

    ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกท่าน 

    ❤️

  • HIGHER SELF [2]

    ตอนที่ 2 :  Higher Self  และ  Manifest ความเหมือนที่แตกต่างกัน

    ☀️

    หลังจากในตอนที่แล้ว เชื่อว่าทุกท่านผู้อ่านทุกท่าน น่าจะเริ่มเข้าใจแนวคิดของ 

    Higher Self หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา ไปกันเรียบร้อยแล้ว

    ((หากยังไม่ได้อ่าน สามารถตามไปอ่านจาก #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า ได้นะครับ))

    ตอนนี้เชื่อว่าทุกท่าน อาจจะมีความสงสัยกันว่า แล้วหลักการของแนวคิด higher self นี้มันมีความเหมือนหรือแตกต่างจากแนวคิด ในการพัฒนาตัวเองอีกอย่างหนึ่งคือ Manifest อย่างไรบ้าง

    ——————————————————

    💜

    ซึ่งคำว่า Manifest 

    ถ้าเราแปลเป็นไทยในหลายๆบทความที่ไปศึกษา ก็จะแปลได้โดยรวมว่าเป็นการดึงดูดหรือสร้างสิ่งที่เราต้องการจากความคิดและเจตนารมณ์ แล้วทั้ง 2 แนวคิดมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร เราจะมาหาคำตอบไปด้วยกัน

    💞

    ก่อนอื่น ต้องให้ผู้อ่านทุกท่าน รับรู้และเข้าใจในส่วนของ หลักการแนวคิดของ Manifest กันก่อน ความหมายหรือนิยามของคำนี้จากบทความหลายๆที่หากนำมาย่อยรวมกัน จะหมายถึงกระบวนการที่ตัวของเราสามารถสร้างหรือดึงดูดสิ่งที่ตัวเราต้องการหรือปรารถนา ให้เข้ามาในชีวิตของเรา ผ่านจากความคิด ความเชื่อ และการตั้งเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ซึ่งตัวหลักการนี้ จะบ่งบอกว่า เมื่อเรามุ่งมั่นในความคิดและพลังเชิงบวกที่ออกมาจากภายในของเรา สิ่งที่เราต้องการ จะถูกดึงดูดเข้ามาได้เสมอ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า

    กฎแห่งการดึงดูด (Law of Attraction) นั้นเอง

    ที่นี้ก่อนไปถึงความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิด เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ กฎแห่งแรงดึงดูด กันดีกว่า

    ——————————————————

    กฎแห่งการดึงดูด (Law of Attraction)

    💛
    💚

    เพื่อที่เราจะได้เข้าใจบริบทของหลักการหรือแนวคิดทั้ง higher self และ manifest กันได้กระจ่างมากขึ้น เรามาทำความรู้จักกับ นิยามของคำนี้กันก่อนนะครับ จริงๆแล้ว กฏแห่งแรงดึงดูด คือแนวคิดที่เชื่อว่าพลังงานความคิดและความรู้สึกของมนุษย์สามารถส่งผลต่อประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในชีวิตได้ ทฤษฎีนี้อ้างถึงจักรวาลที่จะตอบสนองต่อความคิดและความเชื่อของมนุษย์ โดยที่จะพยายามดึงดูดสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือแม้แต่ผู้คนที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์ผู้นั้นคิดและรู้สึกเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือลบ แนวคิดนี้เสนอว่าการที่มนุษย์มุ่งเน้นความคิดเชิงบวก รวมทั้งการยืนยันตัวตนของตนเองนั้น สามารถช่วยให้บุคคลคนนั้นสามารถบรรลุเป้าหมายและสร้างชีวิตที่ต้องการได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันตัวของกฎแห่งการดึงดูดก็ยังเป็นที่ถกเถียงในแวดวงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน​​​​​​​​​​​​​​​​อยู่เหมือนกัน

    ——————————————————

    ความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิด

    ที่นี้เราจะมาดูว่าแล้วความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะครับ

    เริ่มต้นจาก Higher Self กันก่อน 

    ☀️

    หลักการและแนวคิดของ Higher self จะไปเน้นที่เรื่องของการค้นพบตัวตนที่แท้จริงจากภายใน รวมถึงเรื่องของการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของตัวตนเรา โดยจะเน้นไปที่การตระหนักรู้และการพัฒนาภายในมากกว่าการมุ่งสร้างสิ่งที่ต้องการหรือปรารถนาในโลกภายนอก

    🧘

    ถัดมาแนวคิด Manifest 

    🌕

    แนวคิดนี้จะเน้นการสร้างและดึงดูดสิ่งที่เราต้องการจากความคิดและพลังจิต โดยจะเน้นการใช้เจตนาและความเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ สุขภาพ เงินทอง ชื่อเสียง หรือแม้แต่ความรัก และอื่นๆตามที่ตัวตนของคนๆนั้นปรารถนา

    ——————————————————

    💚

     จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 แนวคิดมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แนวคิดหนึ่งเน้นไปเรื่องของการค้นพบตัวเองจากภายใน และอีกแนวคิดจะเน้นไปเรื่องของดึงดูดความปรารถนาภายนอก ซึ่งทั้ง 2 แนวคิดสามารถทำให้ตัวตนของคนๆหนึ่งสามารถหยิบจับ และนั้นไปปรับใช้ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ และอาจจะทำให้วิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางใหม่ๆ 

    🎧

    ——————————————————

    💜

     ซึ่งถ้าหากเรามองดีๆ คนๆหนึ่งสามารถที่จะนำเอาแนวคิดทั้ง 2 แนวคิดนี้ไปปรับใช้และให้ทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

    การเชื่อมต่อกับ Higher Self จะช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไรจากชีวิตจริง ๆ เมื่อเราได้ยินเสียงจากจิตวิญญาณ เราจะสามารถตั้งเจตนาที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ซึ่งจะทำให้กระบวนการ Manifest นั้นมีพลังและเกิดผลขึ้นได้อย่างแท้จริง

    ❤️

    แล้วต้องทำอย่างไร ในตอนถัดไปเราจะมาพูดถึงในเรื่องนี้กันอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ 

    #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า

  • HIGHER SELF [1]

    ตอนที่ 1 : มาทำความรู้จัก Higher Self ตัวตนที่สูงส่งกว่า 

    ในชีวิตประจำวันของทุกคน มักจะมีช่วงเวลาที่เราทุกคนอาจจะคอยตั้งคำถามว่า “จริงๆแล้วตัวตนที่แท้จริงของเราคือใคร?” “เรามีจุดประสงค์อะไรในชีวิตนี้?” และ “สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่?” หากทุกท่านเคยสงสัยในคำถามเหล่านี้ มันอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณๆท่านๆ อาจจะกำลังเริ่มต้นเส้นทางในการค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งของตัวตนของเรามากกว่าเดิม 

    🧚🏻‍♂️

    ——————————————————

    👉

    วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคำว่า “Higher Self” หรือถ้าเป็นภาษาไทย ก็คือ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” 

    👈

    คำนิยามของ Higher self 

    จริงๆ แล้วความหมายจะเป็นในเชิงของแนวคิดที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งของตัวเราเอง เป็นตัวตนที่เต็มไปด้วยปัญญา ความสงบ และความรัก เป็นแหล่งที่มาแห่งความจริงแท้ภายในตัวเรา (อาจนิยามอีกอย่างว่าคือ ตัวเราเมื่อตอนเราเป็นเด็กทารก) 

    👼

    ซึ่งตัวเราจะมีความตระหนักรู้และมุมมองที่กว้างไกลกว่าความคิดในระดับปกติของเรา (เราในปัจจุบัน) หลายๆบทความที่ผมไปอ่านเพิ่มเติมได้บอกไว้ว่า จริงๆแล้วตัวตนของเราที่อยู่ในที่แห่งนี้ (มิติที่ 3 : ที่ท่านๆกำลังอ่านบทความนี้อยู่) เป็นเพียงเศษเสี้ยวของตัวตนที่แท้จริงของเรา 

    👨

    แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน บทความที่ผมศึกษาเหล่านั้นได้บอกเอาไว้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่อีกมิติหนึ่งที่สูงกว่าที่เราจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งตัวตนของเราที่อยู่ที่นั้น แบ่ง part ส่วนหนึ่งออกมาเป็นเราคนนี้ เพื่อให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและพยายามหาความหมายของการมีตัวตนอยู่นั้นเอง ซึ่งถ้าหากเราๆทุกคน สามารถเชื่อมต่อ ตัวตนของเราที่กำลังอ่านบทความนี้ กับตัวตนที่สูงกว่า (Higher self) ที่อยู่ไกลจากที่แห่งนี้ไปได้แล้วละก็ เราอาจจะก้าวกระโดดทางความรู้สึกนึกคิด และสามารถเป็นตัวของเราใน version ที่ดีที่สุดได้เลยทีเดียว มันก็อาจจะเปรียบได้ หรือคล้ายๆจะเป็นเหมือนกับการฝึกพัฒนาจิต และการตระหนักรู้หรือเข้าใจในตัวตนของเราเอง 

    ❤️
    ❤️
    ❤️

    ——————————————————

    แล้วทำไมเราจึงควรเชื่อมต่อกับ Higher Self? 

    Answer

    การเชื่อมต่อกับ Higher self จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของชีวิตของเราเองในมุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เราอาจจะไม่เคยสัมผัส หรือได้เห็นมุมมองของชีวิตในด้านใหม่ๆ ซึ่งมันจะสามารถทำให้เราเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเราเอง ไม่ใช่แค่จากความปรารถนาชั่วคราว (ความอยากมี อยากได้) ที่จริงๆแล้วอาจมาจากสภาพแวดล้อมหรือแรงกดดันภายนอก(กิเลส ความต้องการ) แต่เพื่อให้แท้จริงแล้วเป็นการฝึก เพื่อให้เกิดเป็นการค้นพบตัวตนของตัวเราเอง และค้นหาความต้องการจากแก่นแท้ภายในจิตใจของเรา

    📝

    ยกตัวอย่างเช่น : คนที่มีความฝันอยาก ทะเยอทะยาน อยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน อยากเป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อเสียงเงินทองมากมาย

    👉

    หากเมื่อได้ลองทำการฝึกจิต เชื่อมต่อกับ Higher self ของตัวเองได้แล้ว อาจจะค้นพบว่าความสำเร็จที่แท้จริงสำหรับตัวของเขา อาจจะไม่ได้หมายถึงเงินทองหรือชื่อเสียง

    แต่มันคือ การได้ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับคุณค่าของตัวเอง (การมีตัวตนอยู่) หรือการได้ช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นก็อาจจะเป็นได้ อันนี้ยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพ ในแต่ละคนเราจะมีภาพ และตัวตนที่แตกต่างกันไปนะครับ

    ——————————————————

    ⏳

     เราจะเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้อย่างไร? 

    ⏳

    Answer 

    การเชื่อมต่อกับ Higher self มักจะเริ่มจากการทำสมาธิ อยู่กับตัวเอง การพินิจพิจารณาตนเอง หรือแม้แต่การใช้เวลาทบทวนชีวิต (เช่นตอนอาบน้ำ เชื่อว่าทุกคนเป็นบ่อย เพราะเป็นตอนที่เรารู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด หรือแม้กระทั้งตอนก่อนนอน) ซึ่งอาจจจะช่วยให้เราได้ยินเสียงของตัวตนที่สูงส่งกว่า ที่มักจะซ่อนอยู่ภายในความวุ่นวายของจิตใจในชีวิตประจำวัน

    เมื่อเราเริ่มที่จะฟังและทำความเข้าใจ เราจะค่อยๆฝึกจิต แล้วเราจะสามารถก้าวข้ามความกังวลและความสงสัยในชีวิต เพื่อเข้าสู่การใช้ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยสติ และหากเราทำต่อเนื่องไปเลยๆ เราจะค่อยๆเชื่อมต่อกับ higher self ของตัวเราได้ แล้วเราจะค่อยๆเปลี่ยนไป จะรู้สึกสงบมากขึ้น หวาดระแวงน้อยลง เข้าใจตัวเองมากขึ้น และสุดท้ายจะมีสมาธิ และจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นนั้นเอง

    . . .จบเรียบร้อยหวังว่าตอนแรกของซีรีย์นี้จะทำให้ทุกท่านได้รับอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อยนะครับ 

    😀

    และในตอนหน้าเราจะมาศึกษาถึง ความแตกต่างระหว่าง

    ☀️

     Higher self และ Manifest

    ☀️

     

    ฝากติดตามด้วยนะครับ 

  • [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

    [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

    💡 ขอขอบคุณแรงบันดาลใจจาก 💡

    💚💛 Alljit Podcast – Learn & share [Grouding การกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แบบจิตวิทยา] 💚💛

    ——————————————————

    💜 หากจะบอกว่าในยุคปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลนั้นง่ายขึ้น รวดเร็วมากขึ้น นั้นเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน และด้วยไอความรวดเร็วนี้เอง มันทำให้คนอย่างเราๆนั้น เชื่อมต่อกับคนอื่นๆรอบตัวได้ง่ายมาก ทำให้บางครั้งบทสนทนาก็เกิดขึ้น แล้วก็หายไปดื้อๆเลยก็มี พูดๆอยู่เปลี่ยนเรื่อง คุยๆอยู่หาย 555+ จากการเชื่อมต่อแบบนี้เอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ คนเราอยู่กับปัจจุบันขณะของตัวเองน้อยลงด้วยเช่นกัน

    ❤️ คนในยุคปัจจุบัน ขาดการจดจ่อกับสิ่งอะไรได้นานๆ ยิ่งยุคนี้ที่ social media และ Content ต่างๆบนโลกออนไลน์ มักแต่จะมีสิ่งที่ต้องการให้เราสนใจ และพยายามดึงดูุดความสนใจของเราโดยเฉพาะ

    และด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้เอง ทำให้คนนี้ยุคนี้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆได้นาน สาเหตุที่สำคัญนอกเหนือจากสิ่งเร้าที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีสาเหตุที่สำคัญอื่นๆอีกอันได้แก่

    👉 Information Overload – ปรากฏการณ์ที่คนเราได้รับข้อมูลมากเกินไป มากจนเกินขอบเขตของสิ่งที่รับได้ในแต่ละวัน จนทำให้บางครั้งเวลาเราได้รับข้อมูลบางอย่าง แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่าปวดหัว

    👉 Fear Of Missing Out (FOMO) – ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อเรา เมื่อเรากลัวว่าจะพลาดโอกาสหรือประสบการณ์บางอย่าง ที่คนอื่นกำลังได้รับ รอบๆตัวเรา หรือ นิยามสั่นๆคือการพยายามวิ่งไล่ตามสังคม

    ☀️☀️ การทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกันนั้นไม่เหมาะสมกับสมองของคนเรา เนื่องด้วยสมองของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับการทำอะไรแบบนั้น เป็นผลที่ทำให้บางครั้งเมื่อรับอะไรมากจนเกิดไปทำให้เรารู้สึกปวดหัวได้ และอีกอย่างหนึ่ง การที่เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ หากเมื่อเราทำพฤติกรรมเหล่านี้ไปนานวันเข้า สมองจะเริ่มเรียนรู้จากพฤติกรรมของตัวเรา เมื่อเห็นว่าเราแบบไหนบ่อยๆ ก็จะทำเป็นเหมือนกิจวัตรไป ทำให้ส่งผลให้เราเป็นสมาธิสั้นเทียม มักจะส่งผลต่องาน หรือการใช้ชีวิต เมื่อไม่มีสมาธิในการทำงาน ทำให้ส่งผลเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญ อาจนำไปสู่การทำงาน หรือทำอะไรก็ตามล่าช้า

    👉👉 ซึ่งสุดท้ายแล้วมองว่าการที่คนเราจะจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับจิตใจและความแข็งแกร่งของภายในของตัวเราเอง

    ——————————————————

    🌟สงบใจ รู้สึกตัว ทุกขณะแห่งชีวิต🌟

    การจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ถ้าให้นิยามง่ายๆ คือ การมีสติ และรับรู้สิ่งที่อยู่ภายในตัว และภายนอกตัวเรา (ความตระหนักรู้) ต้องรู้ทันจิตใจตัวเอง และรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้

    โดยมีแนวคิดหลากหลายแนวคิดที่สามารถทำให้เราสามารถรับรู้ปัจจุบัน และอยู่กับปัจจุบันของตนเองได้ อาทิ

    1️⃣ หลักการ Hear & Now หรือ การมีสติในปัจจุบัน (Mindfulness)

    เป็นแนวคิดที่เน้น การให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ โดยให้ความสนใจ 3 อย่างได้แก่ สนใจกับความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ของตัวเราเอง โดยปราศจากการตัดสินหรือการหลงติดในอดีตหรืออนาคต

    2️⃣ หลักการเซน (Zen)

    เป็นหลักแนวคิดที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ การหายใจด้วยความมีสติ เมื่อทำได้ถึงจุดหนึ่ง จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง มองเห็นความจริงปรากฏ เมื่อปราศจากอคติ จิตจะเปิดกว้าง พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้

    ——————————————————

    🌟ไม่คิดถึงอดีต ไม่กังวลอนาคต🌟

    เมื่อเราฝึกสมาธิ หรือทำให้ตัวเราเองอยู่กับปัจจุบันได้ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ ทำให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น สามารถที่จะรู้ทันความคิด และอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี สามารถ Focus กับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า และผลพลอยได้ เราจะได้ดื่มด่ำกับปัจจุบัน และทำให้เราใกล้ชิดกับคนรอบข้างมากขึ้น

    ตรงกันข้ามหากเราเมื่อเราไม่อยู่กับปัจจุบัน จะส่งผลเสียให้กับตัวเราได้ ซึ่งสาเหตุของการไม่อยู่กับปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่

    การคิดถึงอดีต เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังอดีต สิ่งที่เราจะเห็นคือสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป เราจะรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้น และมีการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เกิดความเสียดาย รวมถึงความนึกถึงและความโหยหาอดีต

    การคิดถึงอนาคต เมื่อเราคิดถึงอนาคต จะเริ่มมีการตั้งเป้าหมาย ความกดดัน ความคาดหวังที่สูง จะถูกทำให้ยึดติดกับความเป็นจริง อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด ส่งผลทำให้นอนไม่หลับเกิดเป็นปัญหาสุขภาพได้

    ——————————————————

    🌟ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราคงที่🌟

    สุดท้ายแล้ว หากเราสามารถดึงตัวเองให้กับมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว จะทำให้เรามีสติ ความรู้สึกนึกคิดทันต่อเหตุการณ์ และสามารถที่จะ Focus กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัว ณ ปัจจุบันขณะได้ และสามารถดื่มด่ำกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

    ซึ่งเทคนิคหรือวิธีที่แนะนำ คือ

    🔥🔥🔥 เทคนิค “54321” 🔥🔥🔥

    เทคนิค “54321” เป็นวิธีการ grounding ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว และเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ที่รู้สึกวิตกกังวลหรือเครียด โดยเทคนิคนี้จะช่วยดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสของเราทั้ง 5

    วิธีการที่สามารถทำได้ทันที ทำที่ไหนก็ได้ ดังนี้

    1️⃣ ให้มองหา 5 สิ่งที่มองเห็น : มองไปรอบๆตัวและระบุสิ่งของหรืออะไรก็ตามที่เราเห็น 5 อย่าง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ เสื้อผ้า

    2️⃣ ให้สัมผัส 4 สิ่งที่สัมผัสได้ : สัมผัสสิ่งของรอบตัวและระบุสิ่งที่เรารู้สึกได้ 4 อย่าง เช่น ความนุ่มของหมอน ความเย็นของขวดน้ำ ความหยาบของกระดาษ

    3️⃣ ให้ฟัง 3 สิ่งที่ได้ยิน : ฟังเสียงรอบตัวและระบุเสียงที่เราได้ยิน 3 อย่าง เช่น เสียงนาฬิกาเดิน เสียงนกร้อง เสียงลมพัด

    4️⃣ ให้ดม 2 สิ่งที่สามารถได้กลิ่น : ดมกลิ่นรอบตัวและระบุกลิ่นที่คุณได้กลิ่น 2 อย่าง เช่น กลิ่นกาแฟ กลิ่นน้ำหอม

    5️⃣ ให้นึกถึงหรือลิ้มรส 1 รสชาติที่สามารถทำได้ : ถ้าเป็นไปได้ ให้ลิ้มรสอะไรบางอย่าง และนึกถึงรสชาตินั้น เช่น ข้าวมื้อเมื่อสักครู่นี้หรือน้ำดื่มที่กำลังดื่ม แล้วสังเกตรสชาติของมัน

    ——————————————————

    👉👉และสุดท้ายเมื่อทำแล้วสิ่งที่จะได้คือ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

    💚การดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ความสนใจมาอยู่กับสิ่งรอบๆตัวเราแทน

    💛ช่วยในเรื่องของการลดความวิตกกังวล เพราะ ใจเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีต และ อนาคต ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งนั้น

    💜ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย เพราะ เมื่ออยู่กับปัจจุบัน ชีวิตเราจะรู้ว่าต้องทำอะไร มีสติสมาธิมากขึ้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นนั้นเอง

    หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีของทุกคน

    ขอบคุณและสวัสดีครับ 🙏🏻❤️

  • [สรุป] 7 ข้อคิดที่ได้จาก :: WARRIX แบรนด์เสื้อผ้ากีฬามูลค่า 3,000 ล้าน ที่ใช้กลยุทธ์ “เนื้อติดกระดูก”

    [สรุป] 7 ข้อคิดที่ได้จาก :: WARRIX แบรนด์เสื้อผ้ากีฬามูลค่า 3,000 ล้าน ที่ใช้กลยุทธ์ “เนื้อติดกระดูก”

    1️⃣ เป้าหมาย และคำมั่นสัญญา 🏅👍

    จากจุดที่ครอบครัวมีธุรกิจ สู่วันล้มของธุรกิจจากพิษเศรษฐกิจ จากวัยเด็กที่เป็นเด็กเรียนเก่ง ต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับชีวิต โดยการใช้ชีวิตบวกกับแนวคิดที่โตเกินวัย สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างแรกคือการตั้งเป้าหมาย และให้คำสัญญาที่ว่า “ก่อน 30 จะมีให้ได้เท่าพ่อ” เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เด็กใฝ่ดี ใฝ่รู้ ก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำงานเท่านั้น แต่ความฝัน และคำมั่นสัญญากับตัวเองนั้นเปรียบเสมือน บันไดที่เด็กคนนึงวาดฝัน อยากจะไป และต้องไปให้ถึงให้ได้

    เมื่อใดที่เราให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง เป็นเพราะเราเชื่อว่าสามารถที่จะทำมันได้ เป็นการสร้างแรงจูงใจสำหรับคนทุกคนที่อาจจะกำลังทำงาน และกำลังจะเริ่ม หรือเริ่มทำธุรกิจอยู่ 👉👉“สักวันนึงเราจะต้องไปถึงจุดนั้น สัญญาไว้ตรงนี้ได้เลย”👈👈

    —————————–

    2️⃣ ตั้งใจศึกษาและหาความรู้เสมอ 🧠📖

    ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจต้องดูแลตัวเองให้ได้เสียก่อน จากคนที่เก่งคณิตศาสตร์อยู่แล้ว สอบได้ที่ 1 เป็นหน้าตาของโรงเรียนก็เอาความรู้ความสามารถในจุดนี้ มาสร้างรายได้จากการสอนเป็นติวเตอร์ สามารถดูแลตัวเอง และคนในครอบครัวได้ในระดับนึง และวิชาคณิตศาสตร์นั้นก็ช่วยให้กระบวนการคิดเป็นเหตุเป็นผล มี logic มากขึ้นไปอีก

    การหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แทบจะเป็นคำที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆอยู่แล้ว สำหรับคนที่ทำงานอยู่ และมีเป้าหมายอยากจะทำธุรกิจสักอย่าง แน่นอนการหาความรู้ในสิ่งที่เราสนใจ จะช่วยให้เราขยับใกล้เป้าหมายขึ้นไปอีก รวมทั้งสิ่งที่ศึกษาเหล่านั้น ในอนาคตยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้แน่นอน หมั่นศึกษาเยอะๆ ยิ่งศึกษาจะยิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วเราอาจจะไม่รู้อะไรเลย

    —————————–

    3️⃣ ทำงานให้เสมือนเราเป็นเจ้าของ 📝🎯

    แนวคิดนี้เกิดจาก Passion และความมุ่งมั่นของความเป็นมนุษย์ เมื่อได้เข้าไปทำงานแล้ว พยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อเข้าใจในงาน และสะสมความรู้ให้ได้เยอะกว่าคนอื่น สิ่งนี้เชื่อว่าก็เป็นอีกสิ่งที่คนทำงานมักจะได้ยินบ่อยๆ บางคนอาจจะมีความเชื่อเรื่อง Work life balance แต่สำหรับคนที่มีเป้าหมายอยากจะทำธุรกิจ เชื่อว่าเมื่อคนเป็นเจ้าของกิจการแล้ว การนอนน้อยแทบจะเป็นเรื่องปกติ บางครั้งแทบจะหลับไม่ลง เพราะสุดท้ายแล้ว 🌟🌟”ธุรกิจ คือ ชีวิตของเราที่เราสร้างมันเอง“🌟🌟

    —————————–

    4️⃣ Connection 🛜👯

    การที่เราจะหาวัตถุดิบ หรือวัสดุดีๆได้ ให้ไปขอใครเขาเฉยๆคงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรามีกลุ่มคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อน การจะนำวัตถุดิบ หรือวัสดุดีๆมาก็ไม่ยากซะทีเดียว

    การทำธุรกิจ แน่นอนเราไม่สามารถทำมันขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว หากเรามีคนที่รู้จัก สนิทใจที่จะพูดคุย และสามารถทำธุรกิจร่วมกันได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี การคิดถึงประโยชน์ของทุกฝ่ายย่อมทำให้ตัวธุรกิจสามารถไปต่อได้ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ทำงาน พยายามออกไปใช้ชีวิต หาเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมธุรกิจ เพราะไม่แน่ในอนาคต เราอาจจะต้องการใครสักคนที่จะคอยช่วยเหลือ หรือเป็นเราที่เข้าไปช่วยเหลือก็เป็นได้

    —————————–

    5️⃣ ความไว้ใจหมดลงได้เพราะความเชื่อใจ 🔐👀

    ต่อจากข้อเมื่อกี้ในแง่ของการทำธุรกิจ ต่อให้ญาติสนิท เพื่อนสมัยเรียน หรือคนรู้จัก หากทำธุรกิจร่วมกันหรือมีเรื่องใดให้ช่วยเหลือกันแล้ว สิ่งที่ต้องรักษาไว้คือความเชื่อใจ อย่าทำให้อีกฝ่ายหมดความไว้ใจ เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้ธุรกิจใหญ่แค่ไหนก็ไปไม่รอด

    —————————–

    6️⃣ หาช่องว่างตลาดให้เจอ 📈💹

    ความเชื่ออย่างนึง ที่อยากให้ทุกคนทดลองดู คือ 🧨🧨“ในทุกตลาดที่เราลงไปเล่น มันมักจะมีช่องว่างที่ซ่อนอยู่ให้เราเสมอ”🧨🧨

    หมายความว่าต่อให้ธุรกิจที่เราจะสร้างนั้นมีคู่แข่ง หรือผู้ท้าชิงเยอะแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วมันจะมีลู่ทางให้เราได้วิ่งเสมอ พยายามหาให้เจอ โดยอาศัยการศึกษาหาความรู้ การค้นคว้าเพิ่มเติม รวมทั้งพยายามศึกษาคู่แข่งในตลาดเดียวกัน และลงมือทำในสิ่งที่แตกต่าง

    การทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้ได้กำไร ให้ธุรกิจไปต่อได้ แต่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกับทุกการเติบโต เราทำอย่างไร คู่แข่งทำอย่างไร เรียนรู้จากประสบการณ์ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ของคนอื่นก็สามารถนำมาปรับใช้ เพื่อให้เราก้าวไปยังจุดที่ดีกว่า แตกต่างกว่า เพื่อไปให้ได้ไกลกว่า

    —————————–

    7️⃣ ให้โอกาสคน ใช้คนให้ถูกกับงาน

    การทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่เก่งงานอย่างเดียว ต้องเก่งคนด้วย ถึงจะไปกันรอด ทักษะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคนทำธุรกิจ คือ เรื่องของการรู้จักให้โอกาสคน และการใช้คนให้ถูกกับงาน ต้องมองให้เห็นว่าสิ่งที่คนที่ทำงานกับเรา โดดเด่นในเรื่องอะไร และทำอย่างไรให้บุคคลนั้นสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ เพราะ

    📣📣“เราสร้างธุรกิจได้แต่เราขับเคลื่อนธุรกิจนั้นด้วยตัวคนเดียวไม่ได้”📣📣

    หาเพื่อนร่วมทีมที่ไว้ใจได้ หางานให้ตรงกับทักษะที่คนในทีมมี และเมื่อพร้อมก็ลงสนามไปลุยด้วยกัน

  • [สรุป] “ชรัส เฟื่องอารมย์” ในวัย 73 ปี กับปีที่ 43 ในวงการเพลงและการตกผลึกชีวิต

    [สรุป] “ชรัส เฟื่องอารมย์” ในวัย 73 ปี กับปีที่ 43 ในวงการเพลงและการตกผลึกชีวิต

    🎤🎧 เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า คุณ ชรัส มองว่าอะไรที่ทำให้อยู่วงการเพลงได้นาน 🎤🎼

    คำตอบของ คุณ ชรัส คือ เนื้อเพลงที่ร้องและทำนอง รวมถึงภาษาที่ใช้ในแต่ละเพลง ไม่ว่าจะเป็นรูปประโยค หรือคำบางคำ มีที่มาจากประสบการณ์ของตนเอง ทุกคนที่ยังฟังเพลงเหล่านี้อยู่ ต้องเคยผ่านประสบการณืเหล่านี้กันมาทุกคน ทุกคนเคยมีความรัก ทุกคนเคยมีความทุกข์ และทุกคนเคยมีความสุข เพลงทุกเพลงมีชีวิตอยู่ในตัวมันเอง และตอนนี้รู้สึกว่ายังมีความสุขที่ หลายคนพูดถึง หลายคนยังชื่นชมกับบทเพลงเหล่านี้อยู่

    ———————————————

    ⭐️⭐️ ผลงานใหม่ในวัย 73 ⭐️⭐️

    นอกเหนือจากผลงานเพลงในอดีตแล้ว ณ ตอนนี้ คุณ ชรัส เองก็มีผลงานเพลงที่พึ่งปล่อยออกมาได้ไม่นาน ทั้ง

    – รักเธอมากกว่าจักรวาล 🪐 และ ไม่แก่เกินไปที่จะรัก ❤️

    ซึ่งทั้ง 2 บทเพลงที่กล่าวถึง เป็นบทเพลงรักทั้งคู่ เพราะมีความเชื่อว่า ไม่มีใครไม่รู้จักความรัก และแนวเพลงรักเป็นเพลงอมตะ เกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่าจะ รักพ่อแม่ / รักเพื่อน / รักแฟน / รักครอบครัว หรืออื่นๆ พัฒนาไปตามช่วงวัย และทาง คุณ ชรัส ได้กล่าวว่าทั้ง 2 บทเพลงนี้ใช้เวลาในการแต่งเพลงนานมาก กว่าจะจบออกมาได้ มองว่าที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่า แต่เดิมเราแค่มีประสบการณ์ เราเอามาแต่งได้ แต่ถ้าให้แต่งเพลงรักในยุคสมัยนี้ สำหรับคน 70 กว่า แล้ว จะให้ไปร้องเพลงรักๆใคร่ๆก็คงไม่ใช่ แต่ละช่วงวัยเรามีความรักที่แตกต่างกัน ต่างช่วงวัย ต่างมุมมอง จากประสบการณ์ที่ตนเองเคยพบเจอ

    ดังนั้นเมื่อเราติดว่าจะให้ออกมาเป็นแบบไหน ก็ต้องปรึกษากับหลายๆคน เลยทำให้บทเพลงออกมาได้แบบสมบูรณ์ ชี้ให้เห็นว่า บทเพลงที่แต่งออกมาในตอนนี้ เกิดจากความร่วมมือหลายๆคน โดยได้รับข้อมูลจากหลายๆฝ่าย ช่วยเหลือให้มันเกิดขึ้น

    ———————————————

    🎵🎵ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็ยังไม่หยุดสร้างงานเพลง 🎵🎵

    คุณชรัส ยังได้บอกอีกว่า ตอนนี้อยากจะทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรก็ตาม ขอแค่ไม่ให้รู้สึกว่างๆ เพราะเรายังมีพลังงาน ยังอยากจะสร้างผลงานออกมา เพราะถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีเราจะจากโลกนี้ไป อย่างน้อยขอแค่เราได้เดินไปข้างหน้าอีก 4 – 5 ก้าวก็ยังดี

    🟡ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อให้ชื่อเรายังคงอยู่🟢

    🔔🔔 ตามสมัย แต่ไม่ตามเส้นทางใคร 🔔🔔

    ในช่วงกลางบทสัมภาษณ์นี้ คุณ ชรัส ได้กล่าวถึง ยุคสมัยปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งอดีต ตอนนี้ โลกเปลี่ยนไป ตัวเราเอง

    👉🏼👉🏼“ต้องตามโลก แต่ไม่ต้องตามใคร”👈🏼👈🏼

    หมายความว่า ต้องเรียนรู้เรื่อยๆ แต่ไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางใคร ขอแค่เดินตามเส้นทางที่เราอยากเดิน แม้มันจะเป็นเส้นทางแคบๆเล็กๆ แต่เราก็ได้เส้นทางที่เราอยากเดิน รวมถึงในยุคนี้ ถ้าเราไม่รู้จักดูให้เยอะ ฟังให้เยอะ ก็เป็นไปได้ที่เราจะตามคนอื่นไม่ทัน ต้องรู้จัก

    👉👉“เปิดกว้าง และอย่าอยู่ในโลกของตัวเองมากเกินไป”👈👈

    ถ้าเราไม่รู้อะไรก็ต้องถามเยอะๆ และต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเสมอ อย่ามี Ego เยอะ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า

    ———————————————

    😷😷 การดูแลสุขภาพกายในวัย 70 😷😷

    หลายคนอาจไม่รู้ว่า คุณ ชรัส นั้นตอนที่เป็นนักร้อง ตัวเขาเองก็ร้องเพลงด้วยทำงานประจำไปด้วย ในสาย การเงิน ธนาคาร มีหลายอย่างที่ตัวเขาเอง เรียนรู้จากคนรอบข้าง ทั้งในเรื่องของการดูแลตัวเอง ให้ห่างไกลจากโรคภัย ไข้เจ็บ เมื่อตอนทำงาน เริ่มสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เริ่มมีโรคเข้ามา ก็เริ่มเตรียมพร้อมดูแลร่างกายของตนเอง ก่อนที่จะเข้าอายุ 60 เริ่มเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย พอเกษียณ ก็เริ่มดูแลตัวเองจริงจัง จนตอนนี้ยังไม่เคยกินยาประจำ มีแค่วิตามินอาหารเสริมเท่านั้น และที่สำคัญเลยสำหรับทุกคนต้องมีวินัยในการดูแลตัวเอง การดูแลตัวเองนั้นยากมาก ต้องอาศัยทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ แต่ถ้าทำได้สุขภาพจะแข็งแรงแน่นอน เพราะอย่างน้อย ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ขอแค่ทำยังไงก็ได้ให้มันดูดีหน่อย

    ———————————————

    💛💛 การดูแลจิตใจ 💛💛

    คุณ ชรัส เป็นผู้ที่เชื่อว่า การปฏิบัติธรรม ช่วยดูแลจิตใจ และท่านทำอยู่เป็นประจำ โดยการเข้าสถานปฏิบัติธรรม เพราะแต่เด็กเลยเป็นคนที่อยากรู้ พออยากรู้ ก็ต้องลองทำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ โดยท่านให้แนวคิดว่าที่สำคัญของการฝึกจิต เอาไว้ว่า การฝึกจิต คือการดูใจตัวเอง ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ การฝึกจิตนั้นทำให้เรานิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหวกับอะไรก็ตามที่เข้ามา การที่เราพยายามฝึกปกฺบัติธรรมนั้นเพื่อเข้าสู่ธรรมะ เพราะทำให้เราคุมสติได้อยู่เสมอ ลองดูรอบๆตัว ส่วนใหญ่คนที่ทำอะไรผิดพลาด ล้วนเกิดมาจากความไม่มีสติ ยิ่งพออายุมากขึ้น เรายิ่งต้องการธรรมะ เพราะคนที่อายุมากขึ้น จะเริ่มมี Ego ในตัวเอง ตามที่เขาบอก “ยิ่งแก่ ยิ่งเยอะ” เราต้องพยายามทำตัวเองให้ดีที่สุด อย่าเป็นภาระใคร พออายุมากขึ้น ให้เรามองว่าอะไรก็ตามที่เราช่วยตัวเองได้ ดีที่สุด รวมทั้งจิตใจด้วย ถ้าจิตใจของเราสงบได้ เราจะเข้าใจทุกอย่าง และพอถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เราก็จะสามารถเตรียมพร้อมทั้งจิตใจ และร่างกายได้ง่าย

    ———————————————

    👯👯 เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน ดึกดำบรรพ์ 👬👬

    ในเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อน อันนี้ คุณ ชรัสก็บอกว่า สำคัญไม่แพ้กัน จะคบกับใครสักคน ต้องคบกันโดยไม่หวังผล ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ทำทุกอย่างด้วยความรัก เป็นเพื่อนกันจริงๆ พอเติบโตมาจนอายุเข้าเลข 7 แบบนี้แล้ว การมีเพื่อน ที่ได้พยายามหากิจกรรมทำด้วยกัน มันทำให้เรา มีความสุขที่ได้รวมตัวกัน เหมือนกลุ่มเพื่อนที่ร่วมกันนั่งกินเหล้าด้วยกัน เพราะถ้าปล่อยให้อยู่เฉยๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป มันก็ไม่ใช่แล้วอายุขนาดนี้ ต้องหากิจกรรมอะไรทำ คิดเอาไว้เสมอ

    👉🏼👉🏼👉🏼“ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ”👈🏼👈🏼👈🏼

    🚶🏼‍♂️🚶🏼‍♂️ ข้อคิดของคนมีชีวิตยืนยาว ไม่กี่ปีก็จากไปแล้ว 🚶🏼‍➡️🚶🏼‍➡️

    พอเดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่คิดไว้เมื่อครั้งอดีต มันเอามาใช้ไม่ได้กับตอนนี้แล้ว ตอนนี้คิดได้แค่ว่า

    👉🏼👉🏼👉🏼“ไม่โลภ ไม่ละโมด ไม่เห็นแก่ได้ = ใจเป็นสุข”👈🏼👈🏼👈🏼

    ขอแค่หาความสุขในชีวิตประจำวันก็ดีแล้ว แค่มีชีวิตที่มีคุณภาพก็เพียงพอแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตนี้จะสอนให้เรา “พึ่งตนเอง”

  • [สรุป] อาชีพ Producer : สะท้อนมุมมองให้ผู้กำกับ เพื่อปีนกำแพง เอาชนะใจคนดู กับ วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์

    [สรุป] อาชีพ Producer : สะท้อนมุมมองให้ผู้กำกับ เพื่อปีนกำแพง เอาชนะใจคนดู กับ วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์

    🎬🎬 นิยามคำว่า “โปรดิวเซอร์” 🎬🎬

    ทางพี่วรรณ ให้นิยามเอาไว้อย่างนี้ว่า เป็น “ผู้สร้าง / ผู้ริเริ่ม / ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ”

    หน้าที่หลักๆ ของการเป็น โปรดิวเซอร์ คือ การหางาน หาผู้กำกับ หานักแสดง เราเปรียบเสมือน คนที่ริเริ่มโปรเจ็คอะไรสักอย่าง มีไอเดีย เอาไอเดียไปขาย หาทีม เพื่อทำให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้น ออกมาเป็นภาพยนตร์ให้คนดูได้ชมกัน

    นอกเหนือจากนั้น จะต้องเป็นคนที่คิดเยอะมากๆ เพราะการที่จะทำภาพยนตร์สักเรื่อง สิ่งที่โปรดิวเซอร์จะคิดถึง คือ การจะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกคุ้ม และพร้อมจะจ่ายเงินเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ในโรง

    ————————————————————-

    🦄 ผู้สร้าง ผู้ริเริ่ม 🦄

    ตลอดชีวิตการเป็นโปรดิวเซอร์นั้นไม่ง่าย เพราะการที่จะทำให้องค์ประกอบทุกอย่างออกมาให้เกิดความคุ้มค่า เริ่มต้นจากการดูที่ต้องนั่งอ่านสคริป อ่านไปเรื่อยๆ และคอมเม้น ไอเดียของผู้กำกับ ปรับแก้ไขร่วมกับทีม

    และยังต้องเป็นตัวกลางในการที่จะนำเสนอให้สตูดิโอเห็น และทำให้เขาสนใจที่จะลงทุน กับไอเดียของคุณ

    พี่วรรณ บอกว่า มีหลายครั้งเลยที่เรามีไอเดีย บางไอเดียอยากทำ แต่ยังไม่มีคนที่ดูแล้วจะทำได้ ก็ต้องพับเก็บไอเดียนั้นไว้ก่อน

    บางไอเดีย เกิดจาก ประสบการณ์ที่พบเจอ หรือความรู้สึกร่วมที่ก่อเกิดขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง 🏠 ลัดดาแลนด์ 🏠ในตอนแรก ตัวหนังจะเป็นการแก้อาถรรพ์ ไล่ผี แต่ก็มองว่าถ้าทำแบบนี้ คนดูน่าจะเบื่อ เพราช่วงนั้นในตลาดเรามีหนังประเภทนี้เยอะแล้ว เราต้องหาจุดร่วมใหม่ เลยได้ไอเดียจากการที่ผู้กำกับไปอ่านเจอบทความหนึ่ง พบว่า ถ้าผู้ชายอายุ 40 ไม่มีบ้าน ก็จะไม่มีบ้านแล้ว

    หมายความว่าการสร้างบ้านของคนๆหนึ่ง มันแทบจะเป็นการลงทุนทั้งชีวิต บวกกับภาวะเศรษฐกิจ เรื่องที่ต้องย้ายบ้านออกจากหมู่บ้านที่แม้จะมีคดีเกิดขึ้นนี้ไป จึงแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อันนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญของตัวละครในเรื่องนี้ และเป็นการเล่าเรื่องในฉบับที่เราได้เห็นกันในโรง

    ————————————————————–

    ในการสร้างภาพยนตร์ออกมาสักหนึ่งเรื่อง ระยะเวลาก่อนที่จะเริ่มลงมือสร้าง บางครั้งก็นานไม่แพ้กัน บางทีแก้ไขบทกันก็อาจจะเป็นปี ต้องมีความอดทน และหาจุดร่วมของไอเดียเพื่อหาเส้นทางของหนัง

    ————————————————————–

    💡💡💡 ไอเดีย จุดร่วม และความรู้สึกใหม่ 💡💡💡

    จากที่เล่ามาจะเห็นได้ว่า การทำภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่การคิดบท ขึ้นมา หาทีม หานักแสดง ตัดต่อ แล้วออกฉาย มันมีรายละเอียดมากกว่านั้นมา และทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากความเข้าใจ มองภาพใหญ่ให้เห็นปลายทางของสิ่งที่เราจะนำเสนอ

    หากแต่เมื่อถึงเวลาลงมือทำ ให้พรรณาและทำไปทีละขั้นตอน

    กลับมายกตัวอย่าง จุดสำคัญของ ภาพยนตร์เรื่อง 🏠 ลัดดาแลนด์ 🏠 สุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อจากประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือ ความรู้สึกที่มองว่า “บ้านคือ Home ไม่ใช่ House”

    ในจุดนี้ ทำให้ความรู้สึกไปตรงใจกับใครหลายคนที่อาจจะเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย

    นี้เป็นตัวอย่างที่บอก คือ ให้เรามองที่ปลายทางว่าอยากให้คนดูเห็นอะไร เรื่องระหว่างทางมันจะมาเอง

    และส่วนสำคัญของการทำภาพยนตร์ เราต้องสร้างความรู้สึกใหม่ ให้คิดเสมอว่าความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เราสร้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราอยากจะมอบให้คนดู

    ————————————————————–

    🍿🍿 ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน 🍿🍿

    พี่วรรณ บอกเอาไว้ว่ากว่าที่ตนเองจะได้ทำทำหน้าที่ในจุดนี้ มันก็ผ่านมาหลายเรื่องราวมาก มุมมองที่อยากแชร์เลย คือ มองว่า อาชีพ กับ ทักษะ ไม่เหมือนกัน

    บางทีคนเรา เรียนมาเหมือนกัน แต่อาจจะเก่งกันคนละแบบ บางคนเก่งเรื่องการเขียนบท บางคนเก่งเรื่องมุมกล้อง บางคนเด่นด้วยทักษาะด้านการตัดต่อ

    มะนไม่สำคัญว่าคนแต่ละคน เรียนมาแล้วตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นผู้กำกับ อย่างที่ใฝ่ฝันอย่างเดียว มันเป็นไปได้ที่เราจะเป็นผู้เขียนบทที่เก่งที่สุดในโลก เป็นไปได้ที่จะเป็นนักตัดต่อที่เก่งที่สุดในโลก = specialist

    หากอยากเป็นผู้กับกับ ความขยันและการฝึกฝนนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เพราะผู้กำกับ จะต้องรู้ทุกทักษะ = Generalist

    ไม่มีใครด้อยกว่าใคร เพราะทุกอาชีพล้วนมีคุณค่าในตนเอง

    ————————————————————–

    📀📀 โปรดิวเซอร์เองก็มองภาพนี้ เช่นเดียวกัน 📀📀

    มาถึงตรงนี้พี่วรรณก็ยกตัวอย่างให้เห็น มุมมองของการสร้างหนัง การแชร์ไอเดีย และการวิจารณ์บทภาพยนตร์ มันช่วยให้การปรับแก้ ลื่นไหล และสุดท้ายแล้วมันส่งผลดีออกมาต่อสิ่งที่เราคาดหวัง

    ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง 👵 หลานม่า 👵 ในตอนแรกที่ออกมาเลย ก่อนที่จะปรับแก้ไข ไอเดียเราอยากจะเล่าเรื่องความเป็นอยู่ของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน แต่พอทำออกมาแล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดูเป็นหนังจนเกินไป

    ทีนี้เราก็มามองกันใหม่ คอมเม้น และช่วยกันปรับแก้ โดยใช้ความรู้สึกว่า “ทำหนังให้ความรู้สึกมันเรียบง่ายที่สุด แต่ส่งผลกระทบถึงคนดูมากที่สุด” ให้เหมือนล่องเรือ แล้วเจอยอดภูเขาน้ำแข็ง

    ทีนี้ทุกคนก็มานั่งคุยกัน แล้วดูว่าประสบการณ์ ของแต่ละครอบครัวที่เคยเจอมีอะไรบ้าง อะไรเหมือนกันจดไว้ แล้วหยิบจับมาใช้ในภาพยนตร์ พอถึงจุดนี้ก็บอกได้ว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่อง เล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ แต่ถ้าคนดูใครก็ตามที่เคยผ่านประสบการณ์นี้ สุดท้ายแล้วมันจะ impact ต่อคนๆนั้น

    ————————————————————–

    🎥🎞️ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ 🎥🎞️

    ในตอนท้าย พี่วรรณได้บอกว่า การที่จะเป็นโปรดิวเซอร์นั้น จะต้องคิดให้เยอะๆ และพยายามตั้งคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่ดีๆ เพราะการตั้งคำถามดี คำตอบที่ได้ก็จะดีเอง

    เสริมเรื่องของการเติบโตในอาชีพ โปรดิวเซอร์ เส้นทางชีวิตของพี่วรรณ มันไม่เป็นอย่างที่คิด

    ทางพี่วรรณเริ่มต้นอาชีพ หลังจากเรียนจบ เริ่มจากการไปสมัครงาน ทำหน้าที่เป็นผู้ทำเนื้อหาบันเทิงใน Web site มาก่อนทำอยู่ได้สักพัก แล้วค่อยเริ่มเขียนนักวิจารณ์หนัง

    พอเราได้ทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนเห็น ได้ไปเขียนบทวิจารณ์ ในหนังสือ นิตยสารต่างๆ พอเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง ก็เริ่มได้เข้าวงการภาพยนตร์ที่ตรงเองใฝ่ฝัน

    ในจุดนี้พี่วรรณ ต้องการจะบอกว่า ให้เราทุกคน เรียนรู้และฝึกฝนอยู่เป็นประจำ แล้วหาทางแสดงศักยภาพออกมา เมื่อเราเตรียมพร้อม โอกาสจะมาเอง

    และที่สำคัญ ให้เราพยายามเรียนรู้ผ่านการทำงานจริง

    โดยเฉพาะอาชีพคนทำหนัง ให้คิดเสมอว่า “คนดูเป็นครูของเรา” ถ้าอยากเอาชนะใจคนอื่น อย่ามองแค่ว่าตนเองอยากทำอะไร “บางครั้งถูกใจเรา อาจจะไม่ถูกเขา” ลองลงมือทำ เพื่อให้รู้ว่าเราชอบจริงๆหรือไม่

    เรียนรู้ “How” ไปพร้อมกับการเรียนรู้ “What”

    ค้นหา 🔍 / ลงมือทำ ✅ / ฝึกฝน 📝

  • [สรุป] Podcast รับมือกับความซวย by ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

    [สรุป] Podcast รับมือกับความซวย by ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

    💚 เปลี่ยนโชคร้าย เป็นโชคดี 🧡

    ในต้นคลิปเราเริ่มต้น ด้วยการที่พี่โจ้ ธนา บอกว่า 👉“โชคดีเป็นสิ่งปลูกได้”👈

    จากงานวิจัย ของฝรั่งได้บอกว่า คนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี โดยเฉลี่ยแล้วจะเป็นคนที่มีอะไรคล้ายๆกันใน 4 ข้อนี้ ได้แก่

    1️⃣ เป็นคนที่เป็นมิตร เปิดกว้าง และพร้อมวิ่งเข้าหาโอกาสใหม่ๆอยู่เสมอ

    2️⃣เป็นคนที่ฟังเสียงภายในจิตใจของตนเอง อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร หาทางที่จะไปยังจุดๆนั้น

    3️⃣ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี

    4️⃣ เป็นคนที่อดทน อึด ล้มแล้วลุกไม่ท้อ มองเห็นโอกาสในวิกฤตต่างๆที่เข้ามา

    และนอกจากเรื่องของความรอโอกาสแล้ว การเตรียมความพร้อมก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความโชคดี

    ดั้งสมการที่พี่โจ้ ได้บอกมาตลอด คือ

    🤩 โชค = (โอกาส + เตรียมความพร้อม) 🤩

    ทางเฮียวิทย์ ได้เสริมเพิ่มเติมว่า จริงๆแล้ว เราทุกคนควรเตรียมความพร้อมไว้เสมอ และเชื่อว่าในแต่ละคนจะมีช่วงเวลา Prime ของใครของมัน

    เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว โชคจะดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการถนอมหรือการรักษาโชคของเราเอาไว้ด้วย ดังนั้นพอถึงจุดนี้ เฮียวิทย์จึงให้มุมมองว่า โชคดีของแต่ละคน เมื่อได้มันแล้วจะต้องรักษามันไว้ให้ได้ด้วย

    ⭐️⭐️ โชคดี = [(โอกาส + เตรียมความพร้อม)*รักษาโชค] ⭐️⭐️

    ————————————

    🍀 โอกาส คือการเดินทะลุประตูที่ปิดอยู่ (โชคดีที่ไม่มีโชค) 🍀

    เชื่อเถอะว่า คนที่มี Growth mindset จะช่วย ทำให้การปลูกโชค เติบโตได้เร็วขึ้น

    ถัดมาทั้ง 2 ท่านได้แชร์ประสบการณ์ และมุมมองกับการหาโอกาสเพิ่มเติมว่า นอกจากการที่จะนั่งรอโอกาสเพียงอย่างเดียวเพื่อการปลูกโชคขึ้นมา ถ้ามองกลับ. . . แล้วถ้าเราสร้างโอกาสขึ้นมาเลยน่าจะดีกว่าหรือไม่ (ปลูกโอกาส)

    โอกาสสร้างได้ ถ้าหาไม่เจอก็ต้องลองสร้างมันขึ้นมา ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นอกเหนือจากการสร้างโอกาสแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการหา กัลยาณมิตร

    แม้จะมีความรู้ความสามารถเท่ากัน จบออกมาเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน การมีกัลยาณมิตร จะทำให้คนบางคนไปได้ไกลกว่า แล้วการที่เราจะหากัลยามิตรให้เจอนั้น ตัวเราเองก็ต้องทำตัวให้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีกับคนอื่นด้วยเช่นกัน (ปลูกกัลยาณมิตร) อาทิ เช่น

    👍🏻 ต้องเป็นคนนิสัยดี

    👍🏻 ต้องรู้จักให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ

    👍🏻 ต้องเป็นคนที่รู้จักการเรียนรู้อยู่เสมอ

    👍🏻 ต้องไม่โทษคนอื่น

    เราต้องหากัลยาณมิตรที่ดี แล้วต้องระวังอย่าให้ความเป็นมิตรของเรา กลับมาทำให้คุณค่าของความซื่อสัตย์เราลดลง “อย่าซื่อจนเซ่อ”

    โชคดี ไม่ใช่แค่รอฟ้าประทานเพียงอย่างเดียว เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้

    ——————————–

    👑 เจตจำนงค์ในการใช้ชีวิต เพื่อการปลูกโชค 🧚🏻‍♂️

    ต่อมาทาง เฮียวิทย์ ได้นำเสนอถึงความเชื่อของการใช้ชีวิต ของตนเอง โดยอ้างอิงจาก หลักเจตจำนงค์ 2 หลักการได้แก่

    🙉 Determinism – คนเรามีพื้นฐานชีวิตไม่เท่ากัน

    🐯 Free will – เรารู้ว่าเรามีพื้นฐานชีวิตเท่าไหร่ แล้วเราจะเติมเข้าไปเท่าไหร่

    ในส่วนที่1 เราแตะไม่ได้ แต่กลับกันเราแตะในส่วนที่ 2 ได้ โดยที่เราต้องรู้ก่อนว่าพื้นฐานชีวิต เรามีอะไรดีบ้างและอะไรที่ยังไม่ดี แล้วค่อยมาดูว่าเราต้องเติมอะไรเข้าไปบ้าง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่อนาคตเราสร้างขึ้นมาได้

    เราปลูกในสิ่งที่เราปลูกได้ และเชื่อว่าโชคนั้นเป็น Man made เราปลูกมันได้

    —————————————–

    คำถามจากผู้เข้าร่วม

    1️⃣ สอบถามเรื่องของการมูเตลู ในมุมมองของการกราบไหว้บูชา และการมูเตลูนั้น ทางพี่โจ้ และ เฮียวิทย์มีมุมมองอย่างไร

    คำตอบ

    – การกราบไหว้ และการมูเตลู มองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจ และความสบายใจให้กับบุคคลคนนั้น

    – การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการ อยู่กับสติ และมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งที่เรากราบไหว้อยู่นั้นเอง

    2️⃣ เทคนิคในการรอโชคมีเทคนิคอะไรที่สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ให้คนยังทนรอโชคของตนเองอยู่

    – การเตรียมความพร้อม ทำให้เราไม่เสียเวลาไปเปล่าๆ ถ้าไม่เตรียมความพร้อม อย่างไรก็ Zero เตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา

    – เราไม่ต้องรู้ทุกอย่าง ขอแค่เราทำแล้วเรา Enjoy กับมัน เมื่อทำบางอย่าง แม้ไม่เกิดผลอะไรขึ้น แต่เชื่อเถอะเราทุกข์ใจน้อยลง ที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ

    – ถ้ารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ขอเพียงแค่อย่างเดียว “เสียอะไรก็ได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”

    – และอีกอย่าง เราทำการบริหารจิต เมื่อโอกาสมาเมื่อไหร่ มันจะมาจังหวะถูกเสมอ

    3️⃣ ไอเดียการที่เรามีโชคอยู่ เราจะรักษามันไว้อย่างไร

    – ต้องรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร “อย่าโชคร้าย ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี”

    – ทุกช่วงชีวิตเรามีขึ้นมีลงเสมอ วันไหนที่ลง ถ้ามีเพื่อนฝูง กัลยาณมิตร และ สุขภาพดี ถือว่าคุณมีโชคดี

    – และที่ห้ามลืมเลยโดยเด็ดขาด คือ การมีความสุภาพไว้ให้กับทุกคนเสมอ เพราะความสุภาพไม่มีต้นทุน

    4️⃣ ถ้าถึงจังหวะซวยที่สุด ทั้ง 2 ท่านจะทำอย่างไร

    – ความนิ่ง จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้ดีที่สุด ถ้าเจอความซวยบ่อยๆ การนิ่งเฉย แล้วความซวยนั้นจะหายไปเอง

    – เชื่อเสมอว่า ยิ่งซวยเร็ว ยิ่งโชคดี ศึกษากับความซวย

    – และที่สำคัญ ความนิ่งเฉย แสดงออกถึงความสุขุม ความไม่ประมาทกับสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะ มนุษย์ คือ ผลรวมของสิ่งที่เรากระทำ

    – จงใช้ความละเอียดในการใช้ชีวิต

    5️⃣ พาให้จิตใจที่หมกหมุ่นกับเรื่องโชคออกมาในทางที่ถูกต้อง

    – น้ำเฉี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง บางคนอาจจะไม่ชอบที่มีคนมาขัดขวาง สิ่งที่เราจะทำได้ อาจจะต้องเป็นการติงเป็นคำๆ (วิธีแบบเซน) ในจังหวะที่เหมาะสม

    – ทำให้เขาเปิดใจก่อน ค่อยๆไปทีละขั้นตอน

    เพราะฉะนั้น การปลูกโชค รับมือกับความซวย ในแนวทางจะเป็นได้ดังนี้

    เริ่มจากการทำตนเองให้เป็นคนที > หากัลยาณมิตรที่ดี > เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ > สร้างโอกาส และมองหาโอกาสที่เข้ามา > สร้างโชคขึ้นมา > และรักษาโชคที่เกิดขึ้น

  • [สรุป] วิชาใจสู้ วิชามานิต พิชิตหมื่นล้านด้วยคุณธรรม | The Secret Sauce EP.757

    [สรุป] วิชาใจสู้ วิชามานิต พิชิตหมื่นล้านด้วยคุณธรรม | The Secret Sauce EP.757

    Podcast นี้ พี่เคนมาชวนทุกคนทำความรู้จัก และทำความเข้าใจกับวิชาใจสู้ โดย คุณ มานิต อุดมคุณธรรม AKA เจ้าพ่อภูธร

    เจ้าของ ผู้สร้าง ผู้บริหาร ผู้ให้กำเนิด ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยหนึ่งความเชื่อที่ว่า ‘ธุรกิจต้องตั้งอยู่บนคุณธรรมน้ำมิตร’

    ซึ่งทาง คุณ มานิต เอง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความลับของการสร้าง ธุรกิจ และการดิ้นรอดฝ่าฟันวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาทั้งในเรื่องของ การตั้งตัว ก่อร่างสร้างธุรกิจ พิษเศรษฐกิจ และปัญหาสุขภาพ ที่ผ่านมาเกือบทั้งชีวิต

    เรามาเรียนรู้ 5 วิชาที่ คุณมานิต จะมาสอนให้คนที่จะทำธุรกิจ ได้รู้จัก เข้าใจ และเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจจะเจอ ไปพร้อมกันๆ

    วิชาที่ 1️⃣ วิชาการขาย – sales man การทำธุรกิจคือการสร้างมิตร 🏷️👨‍💼🧾

    จุดเริ่มต้น ของการเป็น มานิต อุดมคุณธรรม

    คุณ มานิต เล่าว่า เป็นตัวเองนั้นเป็นคนจีนที่มาอาศัยอยู่ที่ไทย แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ตั้งแต่เด็กๆ คุณมานิต อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ต้องดิ้นรนตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ ก็ได้เริ่มต้นการเป็นนักขาย โดยเริ่มต้นจากช่วยขายล็อตเตอรี่กับคุณแม่ ฝึกการเป็น Sales man ตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นเมื่อโตขึ้นมาอีกสักหน่อย พี่ชายของคุณ มานิต ได้มีการขยับขยายออกมา ขายเสื้อฮาวาย ตัวเขาเองก็ออกมาช่วยพี่ชายโดยใช้เทคนิคการเป็นนักขาย ช่วงอายุ 14 – 16 ปี

    โดยอาศัยจุดเด่นของตนเอง เพื่อขายสินค้าให้ได้ คุณ มานิต ได้บอกว่าเทคนิคที่ดีสำหรับตนเองคือ

    ☝🏼ใส่ใจและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานร้านค้า ที่เข้ามาสั่งสินค้ากับทาง คุณมานิต เมื่อทุกคนรู้จักแล้ว จะส่งผลถึงตัวยอดขาย

    ✌🏼มองให้ชัดว่าการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือการซื้อใจ เราต้องหามิตรแท้ในวงการธุรกิจให้เจอ

    ———————————————————-

    วิชาที่ 2️⃣ วิชาดึงดูดลูกค้า – ลูกวัวไม่รู้จักเสือ 🐯🐆

    หลังจากเติบโตในเส้นทางของการขาย และวงการธุรกิจ ในเวลาต่อมา คุณ มานิต เล่าถึงเรื่อง การสร้างธุรกิจของตนเอง โดยที่ธุรกิจที่เป็นที่รู้จักและมีคู่แข่งมากหน้าหลายตาในสมัยนั้น ตัวเขาเลือกทำธรุกิจที่เกี่ยวข้องกับ ห้างสรรพสินค้า ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ โรบินสัน ในวงการธรุกิจที่มีเจ้าใหญ่แต่เดิมอยู่แล้ว การตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้เราจะถือว่าเป็นตัวใหม่ในธรุกิจนี้ แต่ถ้ามีเทคนิคดี มันจะทำให้ยอดขายเราสามารถแซงหน้าคู่แข่งได้ การตลาด ต้องมองว่าไม่ใช่แค่สวยที่ลู่ทาง แต่ดูลึกถึงโลเคชั่นที่ตั้ง และอีกอย่างจากประสบการณ์การเป็น sales man สอนให้เราอยู่รอด เราต้องทำในสิ่งที่ดีกว่า และทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด

    คุณ มานิต ได้บอกว่าเทคนิคที่ดีสำหรับตนเองคือ

    👉😺 สร้างความแปลกใหม่เพื่อให้เป็นที่ดึงดูด เช่น โรบินสันแต่แรก ห้างสรรพสินค้าสมัยก่อน โรบินสันจะออกแบบชั้นล้างให้มีพื้นที่ส่วนกลาง แบบกว้างขวาง เวลาลูกค้าเดินเข้ามา จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถมองเห็นร้านค้าทั้งหมดในทุกๆชั้น ได้จากตรงนี้

    👉😹 ให้คู่แข่งเป็นทางผ่าน โดยการแจกของสมนาคุณ เมื่อลูกค้าซื้อของจากเรา ลูกค้าจะได้รับ ของเล็กๆน้อยๆเช่นการแจกกระดาษชำระ การแจกของต้องคิดถึงว่าอะไรที่ลูกค้าได้ใช้ประโยชน์และอะไรที่ลูกค้าใช้เยอะแน่ๆในชีวิตประจำวัน

    👉😻 ต้องถอดภาพลักษณ์ของตัวเองทิ้งออกไป แล้วทำให้เราเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าให้ได้

    ———————————————————–

    วิชาที่ 3️⃣ วิชาฝ่าวิกฤต พิษค่าเงิน – วิกฤตต้มยำกุ้ง 🦐🍤🦞

    หลังจากที่ทำธุรกิจได้ไปสักพักใหญ่ ก็มีเรื่องวิกฤตค่าเงินทำให้ต้องขายหุ้นให้กับ Central ทำให้ตัวของ คุณ มานิต ต้องถอยออกมาตั้งหลักชั่วคราว

    และทำให้คิดได้ว่า บางปัญหาที่เข้ามานั้นเกิดจากตัวเราที่เลือกแบบนั้นเอง โชคชะตาเรา บางครั้งอาจจะไม่สามารถสู้กับโชคชะตาบ้านเมืองได้ คุณ มานิต จึงได้ฝากข้อความให้กับนักธรุกิจ ทุกคนว่า ถ้าจะทำธุรกิจต้องมีความละเอียดรอบคอบ แม้ทุกอย่างจะดูดี ตอบโจทย์กับธุรกิจ แต่ทุกคนควรหาทางหนีทีไล่เผื่อไว้เสมอ

    หลังจากนั้นตั้วเขาก็ได้ไปร่วมทำธุรกิจใหม่สำหรับประเทศไทย คือ Home Pro ทางคุณมานิต ทำหน้าที่เพียงเข้าไป Support ในบางเรื่องโดยมีแนวคิดที่ว่า

    🧑🏼‍💼เมื่อมีคนที่เก่งกว่าเรา สิ่งที่เราทำได้คือการ สนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนเก่ง ได้แสดงศักยภาพ

    🧑🏻‍🏫 บางครั้งการเข้าไปยุ่งทุกอย่าง จะเหมือนเราหลงตัวเอง และไม่ได้เคารพความคิดของคนอื่น

    👨‍💼 ในวงการธุรกิจ การทำงานหนัก และการโฟกัสที่ลูกค้า ทำให้เรามองคนออก ว่าคนแบบไหนมีศักยภาพมากพอที่จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าได้ เพราะลูกค้าทุกคนอยากได้ความพิเศษ เราต้องทำให้ลูกค้าได้รับในสิ่งที่เขาอยากได้

    ———————————————————–

    วิชาที่ 4️⃣ วิชาชีวิต พิชิต stroke 🩸🫀🧠😓

    หลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง จากพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่ทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยน บวกกับที่มันมาพร้อมกับสุขภาพย่ำแย่ลงของ ตัวเขาเอง ที่เกิดป่วยเป็นโรค stroke (หลอดเลือดสมอง)

    คุรหมอวินิจฉัยว่า ถ้าคุณ มานิต อยากกลับมาใช้ชีวิตปกติ แบบทุกอย่างครบถ้วน 100 % เขามีเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเองกลับมาเป้นปกติที่สุด จากคำวินิจฉัยนั้นเองทำให้เกิความคิดใหม่ขึ้นมาว่า การที่เราธุรกิจ และหาเงินอย่างเดียวในชีวิต มันไม่คุ้ม

    ต้องหันกลับมาดูแลสุขภาพ เพื่อทำให้ร่างกายแและจิตใจกลับมาเป็นปกติที่สุดในเร็ววัน ซึ่งหลังจากสุขภาพดีขึ้นนั้น เจ้าตัวก็ได้เปลี่ยนความคิด มองว่า เราโชคดีที่เราชนะ stroke ได้ และสิ่งที่สำคัญเลยคือ

    👉👉👉เราทุกคนจะท้อไม่ได้ ถ้าใจคุณท้อคุณจะแพ้ทันที ห้ามอ่อนแอ เราต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด การหาทางสู้ด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอ สมาธิเป็นส่วนสำคัญที่สุด ทำให้เราคิดทุกอย่างได้อย่างดี👈👈👈

    ———————————————————–

    วิชาที่ 5️⃣ วิชาเปลี่ยนขบวนท่า สร้าง Swan lake 🦢🦢🦢🦢🦢

    การเริ่มต้นใหม่ กับความคิดที่ว่า ต้องการจะสร้าง Swan lake คุณ มานิต เล่าว่า จากที่เราเปลี่ยนความคิด ธุรกิจนี้ เราเริ่มต้นด้วยหลักคิดที่ว่า 4อ. ซึ่งได้แก่ อาหาร, อากาศ, ออกกำลังกาย, อารมณ์ ในวงการนี้ แทบจากไม่มีใครเอาหลักคิด หรือแนวคิดนี้มาใช้กับสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้แล้วนั้น ตัวเองกับมีมุมมองว่า อย่าหาเงิน จนกระทั่งลืมสุขภาพ และอีกอย่างนึงคือการทำธุรกิจ เราต้องการที่จะแตกต่าง 4อ. ที่ว่าไม่ค่อยเห็นเอามาใช้กันนั้นแหละ ที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของคนที่เราเรียกว่า ลูกค้า ความกล้าโดยที่ต้องเสี่ยงตลอด เราเรียกว่า คนบ้า แต่หาก ความกล้านั้น มีหลักการโดยที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความแปลกใหม่ และเป็นความต้องการของลูกค้า อันนี้เรียกว่าการสร้างธุรกิจ

    จากทั้ง 5 วิชาที่ คุณ มานิตได้บอกกับเรา พี่เคน สามารถสรุปออกมาได้ เป็น 3 ข้อที่คนทำ ธุรกิจ นำไปปรับใช้ได้

    1. ใจกว้าง : การทำธุรกิจคือการสร้างมิตร ❤️

    2. ใจสู้ : ไม่เผื่อทางถอย ไม่เคยคิดถึงคำว่าแพ้ 💚

    3. ใจใหญ่ : เป็นผู้ประกอบการต้องการเสี่ยง 🧡