Author: Gappio

  • Data Transformation

    เมื่อสักครู่ที่ GAME PAO YING CHUB จะเป็นการนำความรู้จากพื้นฐานโปรแกรมมิ่ง มาต่อ ยอดเป็นการเขียน Function การทำงานเพื่อให้คุ้นชินกับ R Language มาถึงตรงนี้จะเป็นการนำเอาพื้นฐานของทางด้าน Data Transformation ใน R Language มาเพื่อจำลองการวิเคราะห์และจัดการข้อมูลตาม Requirement ของ User ซึ่งในที่นี้เป็นตัวผู้เขียนที่จะลองยกตัวอย่างความต้องการต่างๆ จาก dataset จำลอง


    สำหรับ dataset ที่เราจะใช้กันวันนี้คือ mtcars ที่เป็น dataset สำเร็จรูปใน Rstudio

    ขั้นตอนแรกก่อนที่จะเริ่มทำงาน เราจะทำการ load library หรือ packages สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ tidyverse และ dplyr

    เริ่มต้นเราจะดูก่อนว่า dataset นี้ประกอบด้วยข้อมูล Column ชื่ออะไรบ้าง และความสัมพันธ์ของแต่ละ Column มีอะไรที่น่าสังเกต และเราสามารถเล่นกับก้อนข้อมูลนี้ได้อย่างไรบ้าง

    จะเห็นได้ว่า Column ที่เป็นชื่อรถยนต์ ไม่ได้มีการระบุชื่อ Column ไว้ เราจะทำการสร้างชื่อ Column ให้กับ Column ชื่อรถยนต์นี้กัน

    1. เราทำการเรียก rownames(mtcars) เพื่อดูข้อมูลชื่อรถยนต์ในแถวแรกของ dataset นี้ทั้งหมด
    2. จากนั้นเรากำหนดให้ car_name คือตัวแปรของ rownames(mtcars)
    3. และทำการ Create Column ใหม่ใน dataset นี้ โดยการใช้คำสั่ง mtcars$model (“คำว่า model ไม่มีอยู่ใน dataset เริ่มต้น โปรแกรมจึงมองว่าเป็นการ create column ใหม่ที่ชื่อว่า mdel ขึ้นมาแทน)

    เมื่อได้ column ใหม่แล้ว หากตรวจสอบจะพบว่าตอนนี้ใน dataset เราจะมีก้อนข้อมูลที่เป็น Column ชื่อรถยนต์ด้วยกัน 2 column ต่อไปเราจะทำการลบ Column ที่ไม่มีชื่อทิ้งไปก่อน โดยการระบุคำสั่ง rownames(mtcars) <- NULL เพื่อลบ rownames(mtcars) แถวที่เป็นชื่อรถยนต์ทิ้งไป

      เมื่อลบข้อมูลเรียบร้อย จะเหลือเพียง 1 Column เท่านั้น


      ในลำดับถัดไปเราจะทำการ วิเคราะห์ข้อมูลและจัดเรียงข้อมูลให้ตรงกับ Requirement กัน โดยวิธีการสร้าง data-pipeline เพื่อให้ง่ายต่อการเขียน Filter ต่างๆ

      คำถามที่ 1 :: ต้องการข้อมูลชื่อรถยนต์ และจำนวนเกียร์ในตัวรถ จาก dataset นี้ ที่มีค่าน้ำหนักตัวรถตั้งแต่ 3.5 (wt) ขึ้นไป และ แรงม้ามากกว่า 180 (hp)

      จากคำถาม เราจะเห็นว่า โจทย์ User อยากรู้ 2 อย่างได้แก่ ชื่อรถยนต์ (model) และ จำนวนเกียร์ (gear) ทีนี้เงื่อนไขเพิ่มเติม คือ User ต้องการให้เอาเฉพาะน้ำหนักตัวรถตั้งแต่ 3.5 (wt) ขึ้นไป และ แรงม้ามากกว่า 180 (hp) ขึ้นไปเท่านั้น ผมจึงทำการเพิ่ม column มาอีก 2 ค่าได้แก่ wt และ hp เพื่อให้ User ได้เห็นข้อมูลว่าตรงตาม Requirement แน่ชัด

      และนี้คือข้อมูลที่ได้. . .


      คำถามที่ 2 :: จงหาชื่อรถยนต์ , ประเภทเกียร์ (อัตโนมัติ , กระปุก) และ น้ำหนักตัวรถ จาก dataset นี้ โดยต้องการเฉพาะข้อมูลที่แรงม้ามากกว่า 200 ขึ้นไป และแรงม้าต่ำกว่า 100 เท่านั้น ไม่เอาระหว่าง 100 – 200 และจงระบุว่า คันไหนใช้เกียร์แบบไหน

      จากโจทย์ User อยากได้ข้อมูล ชื่อรถยนต์ แและ ประเภทเกียร์ โดยมีเงื่อนไขเป็น แรงม้า ผมจึงทำการระบุ เงื่อนไขก่อน โดยการกำหนดว่าแรงม้าที่ User ต้องการ ต้องน้อยกว่า 100 หรือไม่ก็มากกว่า 200 ไปเลย จากนั้น จะดึงข้อมูลโดยเอาชื่อรถยนต์ จำนวนแรงม้า น้ำหนักตัวรถ และประเภทเกียร์มาแสดง

      และนี้คือข้อมูลที่ได้. . .

      จะเห็นได้ว่าข้อมูลพอดูได้ แต่ User อยากให้ระบุว่า คันไหนใช้เกียร์แบบไหน จึงทำการสร้างข้อมูลเพิ่ม โดยการใช้คำสั่ง function : mutate ร่วมกับ ifelse() เพื่อกำหนดเงื่อนไข หากเป็นจริง ให้แสดงข้อมูลนี้ และไม่เป็นจริงให้แสดงข้อมูลนี้

      จากการที่เพิ่ม function : mutate ร่วมกับ ifelse() อธิบายตรงนี้ว่า ให้ am_gear คือการแสดงข้อมูลของ am ถ้า am เท่ากับ 0 ให้แสดงค่า “auto” แต่ถ้าไม่ ให้แสดงค่า “manual”

      และทำการเรียงข้อมูลเพื่อให้สวยงามด้วย Function arrange

      และนี้คือข้อมูลที่ได้. . .


      . . . การจำลองการวิเคราะห์ข้อมูล และการ Transformation ใน R Language ก็จะเป็นประมาณนี้ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบพระคุณครับ ♥

    1. PAO YING CHUB in R-Programing

      หลังจากที่ได้เรียน และศึกษาทางด้าน R-Language มาพอสมควร พอมาถึงตอนนี้ได้รับโจทย์ให้ลองเขียน Function สำหรับการเล่นเกมส์ง่ายๆ คือการเป่ายิ้งฉุบ และมีการนับคะแนน แพ้/ชนะ ระหว่างผู้เล่น และ บอท เดี๋ยวเรามาลองดู Function กัน และเดี๋ยวจะมีการอธิบายว่า Code ที่ระบุในแต่ละขั้นตอน ใช้ทำอะไรกันบ้างนะครับ

      ภาพด้านบนจะเป็น Code ทั้งหมดที่ผมทำการเขียนเพื่อใช้เรียก Function การเล่นเกมส์นี้

      ทีนี้เรามาย่อย และทำความเข้าใจ Code ในแต่ละ กระบวนการกันนะครับ


      hand <- c("rock", "paper", "scis")
      • code ในบรรทัดแรก จะเป็นการสร้างตัวแปล hand เพื่อใช้ในการเก็บค่าตัวเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมด ในทีนี้คือ ค้อน(“rock”) กรรไกร(“scis”) และกระดาษ(“paper”)
      play_game <- function() {
        user_score <- 0
        Bot_score <- 0
        
        print("Welcome to a New World")
        print("Let's Play a game!!")
      • code ถัดมาจะเป็นการระบุว่า จะสร้าง Function ที่ชื่อว่า “play_game()” หากพิมพ์ตามนี้จะเป็นการต้อนรับพร้อมกับเปิดการเล่นเกมส์ และนอกเหนือจากนั้น จะมีการนับ Score ด้วย โดยเริ่มต้นใน Score ของผู้เล่น และ บอท เริ่มที่ 0 คะแนนเท่ากัน
          for (round in 1:10) {
          print(paste0("for_round: ",round))
                user_h <- readline("You turn ..and (rock,paper,scis): ")
              while(!(tolower(user_h) %in% hand)) {
                user_h <- readline("Please choose again (rock, paper, scis): ")
              }
          bot_h <- sample(hand, 1)
          print(paste0("for round bot choose: ",bot_h))
      • สำหรับส่วนนี้จะเป็นส่วนสำคัญคือการเล่นเกมส์ และการนับจำนวนรอบ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
      • user_h <- readline(“You turn ..and (rock,paper,scis): “)
        จะเป็นการขอให้ผู้เล่นป้อนตัวเลือก ว่าจะออก ค้อน กรรไกร หรือ กระดาษ
      • while(!(tolower(user_h) %in% hand)) {
        user_h <- readline(“Please choose again (rock, paper, scis): “)
        }

        จะเป็นการตรวจสอบว่าตัวเลือกที่ผู้เล่นป้อน ตรงกับตัวเลือกที่ระบุในตอนต้นหรือไม่ (rock, paper, scis) หากไม่ใช่ ผู้เล่นจะต้องป้อนใหม่จนกว่าจะถูกต้อง
      • bot_h <- sample(hand, 1)
        จะเป็นการที่ บอท จะทำการสุ่มตัวเลือก ตามที่มีระบุในตอนต้น (rock, paper, scis)
      • print(paste0(“for round bot choose: “,bot_h))
        เป็นการแสดงตัวเลือกที่คอมพิวเตอร์เลือก
      if (tolower(user_h) == bot_h) {
          print("Draw")
              } 
      else if ((tolower(user_h) == "rock" && bot_h == "paper") |
               (tolower(user_h) == "paper" && bot_h == "scis") |
               (tolower(user_h) == "scis" && bot_h == "rock")) 
      {
           print("You lose this round")
           Bot_score <- Bot_score + 1
              } 
      else {
            print("You win in this round!!!")
            user_score <- user_score + 1
           }
      }
      • ส่วนรองสุดท้ายนี้จะเป็นการตัดสินผลแพ้ชนะในแต่ละรอบการเล่น โดยเป็นการกำหนดเงื่อนไขว่า
        – หากตัวเลือกที่ผู้เล่นและบอท เลือกเป็นตัวเดียวกัน ประกาศผลว่า เสมอกัน
        – หากตัวเลือกที่ผู้เล่นเลือก เป็นฝ่ายแพ้ บอท ประกาศว่า บอทชนะในรอบนั้นๆ
        – หากตัวเลือกที่ผู้เล่นเลือก เป็นฝ่ายชนะ บอท ประกาศว่า ผู้เล่นชนะในรอบนั้นๆ
       print("Final score")
       print(paste0("Your score: ", user_score ))
       print(paste0("Bot score: ", Bot_score))
          
       if (user_score > Bot_score) {
              print("YOU A WINNER !!!")
            } else if (user_score == Bot_score) {
              print("DRAW Try Agian")
            } else {
              print("BOT WINNER !!!")
            }
          }
      • ส่วนสุดท้าย เป็นการแสดงผลคะแนน และประกาศผู้ชนะเมื่อเล่นครบ 10 รอบการแข่งขัน
      • ถ้าหาก คะแนนผู้เล่น มากกว่าให้ประกาศว่าผู้เล่นชนะ
        ถ้าหาก คะแนนบอท มากกว่าให้ประกาศว่าบอทชนะ และ
        หากคะแนนเท่ากันให้ประกาศว่าเสมอกัน
    2. ATM Function [Class]

      ส่วนนี้จะเป็นการนำเอาความรู้เรื่องการสร้าง Class เพื่อทดลองการใช้งานระบบ ATM และ Function หลักๆเกี่ยวกับเครื่อง ATM เช่นการ โอนเงิน ถอนเงิน หรือแม่แต่การตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของตนเอง ใน Class ต่อไปนี้ทางผู้เขียนจะมีการ ยกตัวอย่างแสดง Function หลักๆของการทำธุรกรรมผ่านตู้ ATM ทั้งหมดด้วยกัน 4 Function นะครับ


      Work hard 💼
      Play harder 😉
      Learn hardest 📝

      Stay Focus 🎧


      class ATM:
          def __init__ (self , name , bank , acnumber , balance , amount1 , amount2):
              self.name = name
              self.bank = bank
              self.acnumber = acnumber
              self.balance = balance
              self.amount1 = amount1
              self.amount2 = amount2

      ก่อนอื่นเราทำการสร้าง Class เพื่อเตรียมสำหรับการสร้าง Function สำหรับบัญชี ATM ของคนๆหนึ่งขึ้นมาก่อน ใน Class หรือบัญชีนี้จะมีอะไรบ้าง หลักๆมี 3 + 3 อย่างด้วยกันได้แก่ 1. ชื่อบัญชี / 2. ชื่อธนาคารของเจ้าของบัญชี / 3. หมายเลขบัญชี รวมถึง 4. ยอดเงินในบัญชี [optional] / 5. จำนวนเงิน1 [optional] และ / 6. จำนวนเงิน2 [optional] เข้าไปใน Class


      def check_balance(self):
              print(f"Current Balance: {self.balance}")
              print("Would you like to make another transaction?")
              user_input = input("[YES / NO]")
              if user_input == "YES" :
                  print("Please choose your select")
              else :
                  print("Thank you")

      ถัดมาจะคือการเขียนเพื่อระบุ Function นะครับ

      Function ที่ 1 : เป็นเรื่องของการตรวจสอบยอดเงินในบัญชี เมื่อเรียกฟังก์ชั่นนี้ขึ้นมาจะไปทำการดึงข้อมูลจาก Class ที่เราระบุยอดเงินในบัญชีของคนๆนั้นลงไป และเมื่อแสดงยอดเงินแล้วจะมีการสอบถามว่าต้องการทำธุรกรรมอย่างอื่นหรือไม่ หากต้องการทำระบบจะให้เลือกธุรกรรมอื่น แต่หากไม่ระบบจะขอบคุณ และจบการทำงาน



      def withdraw(self):
              print(f"How much you want to withdraw? {self.amount1} / {self.amount2}")
              input(f"Please specify : [{self.amount1} / {self.amount2}]")
              print("Completed, please check the evidence in the mobile application.")
              print("Would you like to make another transaction?")
              user_input = input("[YES / NO]")
              if user_input == "YES" :
                  print("Please choose your select")
              else :
                  print("Thank you")

      Function ที่ 2 : เป็นเรื่องการถอนเงิน โดยที่ Function นี้จะเป็นการแสดงคำถามของระบบก่อนว่า User ต้องการจะถอนเงินเท่าไหร่ มีให้เลือก 2 ยอดเงิน (ในที่นี้คือ amount1 และ amount2) เท่านั้น เมื่อเราทำการระบุจำนวนเงินเรียบร้อย ระบบก็จะทำรายการให้ และเมื่อจบ Transaction แล้วจะมีการสอบถามว่าต้องการทำรายการอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่ หากต้องการทำระบบจะให้เลือกธุรกรรมอื่น แต่หากไม่ระบบจะขอบคุณ และจบการทำงาน



      def tranfer(self):
              print(f"You want to transfer money from your {self.bank} account.")
              input(print("Plese specify the destination account : [SCB , KBANK , KTC , TMB , PromptPay]"))
              input(print(f"Please choose your money for transfer : [100, 200 , 500 , 1000 , 1500 , 1900 , total : {self.balance}]"))
              input(print("Confirm transaction : [YES , NO] "))
              print("Completed, please check the evidence in the mobile application.")
              print("Would you like to make another transaction?")
              user_input = input("[YES / NO]")
              if user_input == "YES" :
                  print("Please choose your select")
              else :
                  print("Thank you")

      Function ที่ 3 : เป็น Function การโอนเงิน เมื่อทำการเลือก Function นี้ทางระบบจะมีการตรวจสอบเลขที่บัญชีของเจ้าของบัญชีจากที่เราเพิ่มข้อมูลตั้งแต่แรก จากนั้นให้ทำการเลือกธนาคารที่ต้องการโอนเงิน แล้วระบุจำนวนเงินที่ต้องการโอน เมื่อเลือกจำนวนเงินได้เรียบร้อย ระบบจะให้เรายืนยันการทำรายการ แล้วจะมีการสอบถามว่าต้องการทำรายการอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่ หากต้องการทำระบบจะให้เลือกธุรกรรมอื่น แต่หากไม่ระบบจะขอบคุณ และจบการทำงาน



      def deposit(self):
              print(f"Please choose your account : [{self.bank}]" )
              print(f"Please check your account number : {self.acnumber}")
              input("Comfirm transaction : [YES , NO] ")
              print(f"Completed, your account have a {self.balance}")
              print("Would you like to make another transaction?")
              user_input = input("[YES / NO]")
              if user_input == "YES" :
                  print("Please choose your select")
              else :
                  print("Thank you")

      Function ที่ 4 : เป็นเรื่องของการฝากเงิน ระบบจะให้ผู้ใช้งานระบุบัญชีที่ต้องการฝากเงินของตัวเอง หลังจากนั้นจะให้เราทำการตรวจสอบเลขที่บัญชี ว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วจะทำการ Confirm การทำรายการ และแสดงยอดเงินคงเหลือในบัญชีของผู้ฝากเงิน แล้วจะมีการสอบถามว่าต้องการทำรายการอื่นๆเพิ่มเติมหรือไม่ หากต้องการทำระบบจะให้เลือกธุรกรรมอื่น แต่หากไม่ระบบจะขอบคุณ และจบการทำงาน

    3. Introduction for python skills

      หลังจากที่ได้เรียน Boot camp กับพี่ทอยไปเรียบร้อย ได้รับโจทย์การบ้านจากพี่ทอย 555+ ให้ลองเขียน Programing โดยใช้ภาษา Python เกี่ยวกับการเล่นเป่ายิ้งฉุบ ซึ่งจะคล้ายๆกับตอนที่เราเขียน R-Programing เพียงแต่ใช้ Function และความรู้ที่เรียนมา เขียนออกมาตามความเข้าใจของเรา เดี๋ยวลองมาดูกัน จะพยายามเขียนอธิบายให้ออกมาให้ดีที่สุดค้าบบ


      ♥♥♥ เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษา Python สำหรับผมเนื่องจากก่อนหน้านี้เราเขียนภาษา R ก่อน เลยจะนำเอาพื้นฐานจากที่ได้เรียนมาขยายความให้เข้าใจมากขึ้น

      “รู้จักลองอะไรใหม่ๆ ทำให้ได้อะไรเจ๋งๆ กลับมาเสมอ” กล่าวโดย เจฟฟ์ เบโซส


      ก่อนจะเริ่มกัน อยากให้ทุกท่านเข้าไปเล่นเกมส์นี้กันก่อนนะครับ

      เข้าผ่าน link นี้ แล้ว กด Code มุมบนซ้าย จากนั้นก็ พิมพ์ข้อความนี้นะครับ


      pao_ying_chub()

      ขอให้สนุกกับเกมส์นะครับ Enjoy the game ! ☺



      . . หลังจากได้ลองเล่นไปแล้ว เดี๋ยวเรามาดูคำอธิบาย Code แต่ละ function กันนะครับ . .


      เริ่มจากการ import random เพื่อเตรียมการสุ่มค่าที่เราตั้งค่าไว้

      import random

      จากนั้นจะทำการเขียน หน้า welcome สำหรับการเล่นเกมส์เป้ายิ้งฉุบ โดยเป็นการเล่นระหว่าง User กับ Bot จึงทำการระบุตัวนับคะแนนลงไปด้วย

      def pao_ying_chub():
          print("Hello welcome to International fun G-A-M-E")
          print("This is PAO YING CHUB!!")
          print("Let's Start it!!!")
      ## ด้านล่างระบุไว้เพื่อนับคะแนน เริ่มต้นจาก 0 ทั้ง User และ Bot
          user_score = 0
          bot_score = 0

      ต่อมาจะเป็นการเริ่มเล่นเกมส์โดยการระบุจำนวนรอบที่เราจะเล่นกัน โดยเริ่มเล่นจากรอบที่ 1 และจะเล่นกันทั้งหมด 10 รอบ เพื่อหาผู้ชนะ (ที่เขียน range 1 , 11 เนื่องจาก Python จะนับค่าก่อนถึงค่าที่กำหนด จึงเป็น รอบที่ 1 – 10)

      count = 1
          for round in range(1, 11):
              print(f"In round: {round}")

      ถัดมาคือการสร้างตัวแปรของ ผู้เล่น หรือ User เพื่อให้ผู้เล่นทำการเลือก choice [ค้อน , กรรไกร , กระดาษ] จากที่กำหนดออกเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการเลือก ใน 3 ค่านี้เท่านั้น

      user_hand = input(print("Please choose your hand : [hammer, paper , scissor]"))

      จากนั้นเมื่อผู้เล่นเลือก choice ของตัวเองได้แล้ว ก็จะถึงตาของ Bot ที่จะทำการสุ่มค่า 3 ค่าเช่นเดียวกับของผู้เล่น คือ [ค้อน , กรรไกร , กระดาษ] เพื่อวัดผลลัพธ์ในรอบนั้นๆ

      b_hand = ["hammer" , "scissor" , "paper"]
      bot_hand = random.choice(b_hand)
      print(f"And bot choose!! : {bot_hand}")

      ถัดมาเป็นเงื่อนไขการให้คะแนน จากผลลัพธ์ที่ออกมาระหว่าง ผู้เล่น และ Bot นั้นเอง โดยเงื่อนไขตั้งตามผู้เล่น

      เงื่อนไขที่ 1 : ถ้าผลลัพธ์ออกมาเป็น Choice เดียวกัน ให้ประกาศว่ารอบนั้นๆ เสมอกัน

      “This round is DRAW!!”

      เงื่อนไขที่ 2 : ถ้าผลลัพธ์ผู้เล่นออกค้อน Bot ออกกรรไกร หรือ

      ถ้าผลลัพธ์ผู้เล่นออกกระดาษ Bot ออกค้อน หรือ

      ถ้าผลลัพธ์ผู้เล่นออกกรรไกร Bot ออกกระดาษ

      ให้ประกาศว่ารอบนั้นๆผู้เล่นชนะ “This round YOU WIN!! Yeahhh :D” แล้วบวกคะแนนให้ผู้เล่น 1 คะแนน

      เงื่อนไขที่ 3 : ถ้าไม่เข้าเงื่อนไขที่ 1 และ 2 ให้ประกาศว่ารอบนั้นๆ Bot ชนะ แล้วบวกคะแนนให้ Bot 1 คะแนน “This round YOU LOSE!! so sad :(“

      จากนั้นก็จะดำเนินการเล่นรอบถัดไป เพื่อให้ครบ 10 รอบการเล่น

      if user_hand == bot_hand:
      print("This round is DRAW!!")
       elif (user_hand == "hammer" and bot_hand == "scissor") or \
            (user_hand == "paper" and bot_hand == "hammer") or \
            (user_hand == "scissor" and bot_hand == "paper"):
             print("This round YOU WIN!! Yeahhh :D")
                  user_score += 1
             else:
                  print("This round YOU LOSE!! so sad :(" )
                  bot_score += 1

      ถัดมาจะเป็นส่วนรองสุดท้าย คือการประกาศคะแนนรวม เมื่อเล่นครบ 10 รอบ

      print("Now !! End the game , This is a score: ")
      print(f"Your score {user_score} ")
      print(f"Bot Score {bot_score} ")

      ส่วนสุดท้ายคือการประกาศผลผู้ชนะ โดยการเอาคะแนนมารวมกัน

      ถ้าผู้เล่นคะแนนรวมมากกว่า ให้ประกาศว่าผู้เล่นเป็นผู้ชนะในเกมส์นี้

      ถ้า Bot คะแนนรวมมากกว่า ให้ประกาศว่า Bot เป็นผู้ชนะในเกมส์นี้

      ถ้าคะแนนเท่ากัน เป็นเสมอกันในเกมส์นี้

      if user_score > bot_score:
         print("You a Winner!")
      elif user_score < bot_score:
         print("Bot a Winner!")
      else:
         print("This game is DRAW!")

      จบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะพอเข้าใจใน Concept ของแต่ละ Function ในแต่ละส่วนนะครับ

      สามารถติชมได้ จะนำไปพัฒนา Skill ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆครับ ขอบพระคุณครับ ♥

    4. [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

      [สรุป] ข้อคิด สิ่งที่ได้เรียนรู้และตกผลึก รวมทั้งวิธี ของการ Grouding จิตใจ

      💡 ขอขอบคุณแรงบันดาลใจจาก 💡

      💚💛 Alljit Podcast – Learn & share [Grouding การกลับมาอยู่กับปัจจุบัน แบบจิตวิทยา] 💚💛

      ——————————————————

      💜 หากจะบอกว่าในยุคปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลนั้นง่ายขึ้น รวดเร็วมากขึ้น นั้นเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน และด้วยไอความรวดเร็วนี้เอง มันทำให้คนอย่างเราๆนั้น เชื่อมต่อกับคนอื่นๆรอบตัวได้ง่ายมาก ทำให้บางครั้งบทสนทนาก็เกิดขึ้น แล้วก็หายไปดื้อๆเลยก็มี พูดๆอยู่เปลี่ยนเรื่อง คุยๆอยู่หาย 555+ จากการเชื่อมต่อแบบนี้เอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ คนเราอยู่กับปัจจุบันขณะของตัวเองน้อยลงด้วยเช่นกัน

      ❤️ คนในยุคปัจจุบัน ขาดการจดจ่อกับสิ่งอะไรได้นานๆ ยิ่งยุคนี้ที่ social media และ Content ต่างๆบนโลกออนไลน์ มักแต่จะมีสิ่งที่ต้องการให้เราสนใจ และพยายามดึงดูุดความสนใจของเราโดยเฉพาะ

      และด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้เอง ทำให้คนนี้ยุคนี้ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆได้นาน สาเหตุที่สำคัญนอกเหนือจากสิ่งเร้าที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีสาเหตุที่สำคัญอื่นๆอีกอันได้แก่

      👉 Information Overload – ปรากฏการณ์ที่คนเราได้รับข้อมูลมากเกินไป มากจนเกินขอบเขตของสิ่งที่รับได้ในแต่ละวัน จนทำให้บางครั้งเวลาเราได้รับข้อมูลบางอย่าง แล้วจะทำให้เรารู้สึกว่าปวดหัว

      👉 Fear Of Missing Out (FOMO) – ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อเรา เมื่อเรากลัวว่าจะพลาดโอกาสหรือประสบการณ์บางอย่าง ที่คนอื่นกำลังได้รับ รอบๆตัวเรา หรือ นิยามสั่นๆคือการพยายามวิ่งไล่ตามสังคม

      ☀️☀️ การทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกันนั้นไม่เหมาะสมกับสมองของคนเรา เนื่องด้วยสมองของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับการทำอะไรแบบนั้น เป็นผลที่ทำให้บางครั้งเมื่อรับอะไรมากจนเกิดไปทำให้เรารู้สึกปวดหัวได้ และอีกอย่างหนึ่ง การที่เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆ หากเมื่อเราทำพฤติกรรมเหล่านี้ไปนานวันเข้า สมองจะเริ่มเรียนรู้จากพฤติกรรมของตัวเรา เมื่อเห็นว่าเราแบบไหนบ่อยๆ ก็จะทำเป็นเหมือนกิจวัตรไป ทำให้ส่งผลให้เราเป็นสมาธิสั้นเทียม มักจะส่งผลต่องาน หรือการใช้ชีวิต เมื่อไม่มีสมาธิในการทำงาน ทำให้ส่งผลเรื่องการเรียงลำดับความสำคัญ อาจนำไปสู่การทำงาน หรือทำอะไรก็ตามล่าช้า

      👉👉 ซึ่งสุดท้ายแล้วมองว่าการที่คนเราจะจดจ่อกับอะไรได้นานๆ เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับจิตใจและความแข็งแกร่งของภายในของตัวเราเอง

      ——————————————————

      🌟สงบใจ รู้สึกตัว ทุกขณะแห่งชีวิต🌟

      การจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ถ้าให้นิยามง่ายๆ คือ การมีสติ และรับรู้สิ่งที่อยู่ภายในตัว และภายนอกตัวเรา (ความตระหนักรู้) ต้องรู้ทันจิตใจตัวเอง และรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้

      โดยมีแนวคิดหลากหลายแนวคิดที่สามารถทำให้เราสามารถรับรู้ปัจจุบัน และอยู่กับปัจจุบันของตนเองได้ อาทิ

      1️⃣ หลักการ Hear & Now หรือ การมีสติในปัจจุบัน (Mindfulness)

      เป็นแนวคิดที่เน้น การให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ โดยให้ความสนใจ 3 อย่างได้แก่ สนใจกับความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ของตัวเราเอง โดยปราศจากการตัดสินหรือการหลงติดในอดีตหรืออนาคต

      2️⃣ หลักการเซน (Zen)

      เป็นหลักแนวคิดที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ การหายใจด้วยความมีสติ เมื่อทำได้ถึงจุดหนึ่ง จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง มองเห็นความจริงปรากฏ เมื่อปราศจากอคติ จิตจะเปิดกว้าง พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้

      ——————————————————

      🌟ไม่คิดถึงอดีต ไม่กังวลอนาคต🌟

      เมื่อเราฝึกสมาธิ หรือทำให้ตัวเราเองอยู่กับปัจจุบันได้ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ ทำให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น สามารถที่จะรู้ทันความคิด และอารมณ์ของตนเองได้อย่างดี สามารถ Focus กับสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้า และผลพลอยได้ เราจะได้ดื่มด่ำกับปัจจุบัน และทำให้เราใกล้ชิดกับคนรอบข้างมากขึ้น

      ตรงกันข้ามหากเราเมื่อเราไม่อยู่กับปัจจุบัน จะส่งผลเสียให้กับตัวเราได้ ซึ่งสาเหตุของการไม่อยู่กับปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่

      การคิดถึงอดีต เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังอดีต สิ่งที่เราจะเห็นคือสิ่งที่เราทำผิดพลาดไป เราจะรู้สึกว่าไม่น่าทำแบบนั้น และมีการเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เกิดความเสียดาย รวมถึงความนึกถึงและความโหยหาอดีต

      การคิดถึงอนาคต เมื่อเราคิดถึงอนาคต จะเริ่มมีการตั้งเป้าหมาย ความกดดัน ความคาดหวังที่สูง จะถูกทำให้ยึดติดกับความเป็นจริง อาจจะทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด ส่งผลทำให้นอนไม่หลับเกิดเป็นปัญหาสุขภาพได้

      ——————————————————

      🌟ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป แต่ใจเราคงที่🌟

      สุดท้ายแล้ว หากเราสามารถดึงตัวเองให้กับมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้ว จะทำให้เรามีสติ ความรู้สึกนึกคิดทันต่อเหตุการณ์ และสามารถที่จะ Focus กับสิ่งที่อยู่รอบๆตัว ณ ปัจจุบันขณะได้ และสามารถดื่มด่ำกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

      ซึ่งเทคนิคหรือวิธีที่แนะนำ คือ

      🔥🔥🔥 เทคนิค “54321” 🔥🔥🔥

      เทคนิค “54321” เป็นวิธีการ grounding ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว และเหมาะสำหรับใช้ในสถานการณ์ที่รู้สึกวิตกกังวลหรือเครียด โดยเทคนิคนี้จะช่วยดึงสติกลับมาที่ปัจจุบัน ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสของเราทั้ง 5

      วิธีการที่สามารถทำได้ทันที ทำที่ไหนก็ได้ ดังนี้

      1️⃣ ให้มองหา 5 สิ่งที่มองเห็น : มองไปรอบๆตัวและระบุสิ่งของหรืออะไรก็ตามที่เราเห็น 5 อย่าง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ต้นไม้ เสื้อผ้า

      2️⃣ ให้สัมผัส 4 สิ่งที่สัมผัสได้ : สัมผัสสิ่งของรอบตัวและระบุสิ่งที่เรารู้สึกได้ 4 อย่าง เช่น ความนุ่มของหมอน ความเย็นของขวดน้ำ ความหยาบของกระดาษ

      3️⃣ ให้ฟัง 3 สิ่งที่ได้ยิน : ฟังเสียงรอบตัวและระบุเสียงที่เราได้ยิน 3 อย่าง เช่น เสียงนาฬิกาเดิน เสียงนกร้อง เสียงลมพัด

      4️⃣ ให้ดม 2 สิ่งที่สามารถได้กลิ่น : ดมกลิ่นรอบตัวและระบุกลิ่นที่คุณได้กลิ่น 2 อย่าง เช่น กลิ่นกาแฟ กลิ่นน้ำหอม

      5️⃣ ให้นึกถึงหรือลิ้มรส 1 รสชาติที่สามารถทำได้ : ถ้าเป็นไปได้ ให้ลิ้มรสอะไรบางอย่าง และนึกถึงรสชาตินั้น เช่น ข้าวมื้อเมื่อสักครู่นี้หรือน้ำดื่มที่กำลังดื่ม แล้วสังเกตรสชาติของมัน

      ——————————————————

      👉👉และสุดท้ายเมื่อทำแล้วสิ่งที่จะได้คือ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่

      💚การดึงสติกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ความสนใจมาอยู่กับสิ่งรอบๆตัวเราแทน

      💛ช่วยในเรื่องของการลดความวิตกกังวล เพราะ ใจเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีต และ อนาคต ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งนั้น

      💜ช่วยเพิ่มความรู้สึกปลอดภัย เพราะ เมื่ออยู่กับปัจจุบัน ชีวิตเราจะรู้ว่าต้องทำอะไร มีสติสมาธิมากขึ้น ทำให้เราปลอดภัยมากขึ้นนั้นเอง

      หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกวันเป็นวันที่ดีของทุกคน

      ขอบคุณและสวัสดีครับ 🙏🏻❤️

    5. [สรุป] 7 ข้อคิดที่ได้จาก :: WARRIX แบรนด์เสื้อผ้ากีฬามูลค่า 3,000 ล้าน ที่ใช้กลยุทธ์ “เนื้อติดกระดูก”

      [สรุป] 7 ข้อคิดที่ได้จาก :: WARRIX แบรนด์เสื้อผ้ากีฬามูลค่า 3,000 ล้าน ที่ใช้กลยุทธ์ “เนื้อติดกระดูก”

      1️⃣ เป้าหมาย และคำมั่นสัญญา 🏅👍

      จากจุดที่ครอบครัวมีธุรกิจ สู่วันล้มของธุรกิจจากพิษเศรษฐกิจ จากวัยเด็กที่เป็นเด็กเรียนเก่ง ต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับชีวิต โดยการใช้ชีวิตบวกกับแนวคิดที่โตเกินวัย สิ่งที่ได้เรียนรู้อย่างแรกคือการตั้งเป้าหมาย และให้คำสัญญาที่ว่า “ก่อน 30 จะมีให้ได้เท่าพ่อ” เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เด็กใฝ่ดี ใฝ่รู้ ก้าวเข้าสู่วงการธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำงานเท่านั้น แต่ความฝัน และคำมั่นสัญญากับตัวเองนั้นเปรียบเสมือน บันไดที่เด็กคนนึงวาดฝัน อยากจะไป และต้องไปให้ถึงให้ได้

      เมื่อใดที่เราให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง เป็นเพราะเราเชื่อว่าสามารถที่จะทำมันได้ เป็นการสร้างแรงจูงใจสำหรับคนทุกคนที่อาจจะกำลังทำงาน และกำลังจะเริ่ม หรือเริ่มทำธุรกิจอยู่ 👉👉“สักวันนึงเราจะต้องไปถึงจุดนั้น สัญญาไว้ตรงนี้ได้เลย”👈👈

      —————————–

      2️⃣ ตั้งใจศึกษาและหาความรู้เสมอ 🧠📖

      ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจต้องดูแลตัวเองให้ได้เสียก่อน จากคนที่เก่งคณิตศาสตร์อยู่แล้ว สอบได้ที่ 1 เป็นหน้าตาของโรงเรียนก็เอาความรู้ความสามารถในจุดนี้ มาสร้างรายได้จากการสอนเป็นติวเตอร์ สามารถดูแลตัวเอง และคนในครอบครัวได้ในระดับนึง และวิชาคณิตศาสตร์นั้นก็ช่วยให้กระบวนการคิดเป็นเหตุเป็นผล มี logic มากขึ้นไปอีก

      การหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แทบจะเป็นคำที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆอยู่แล้ว สำหรับคนที่ทำงานอยู่ และมีเป้าหมายอยากจะทำธุรกิจสักอย่าง แน่นอนการหาความรู้ในสิ่งที่เราสนใจ จะช่วยให้เราขยับใกล้เป้าหมายขึ้นไปอีก รวมทั้งสิ่งที่ศึกษาเหล่านั้น ในอนาคตยังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้แน่นอน หมั่นศึกษาเยอะๆ ยิ่งศึกษาจะยิ่งรู้ว่าจริงๆแล้วเราอาจจะไม่รู้อะไรเลย

      —————————–

      3️⃣ ทำงานให้เสมือนเราเป็นเจ้าของ 📝🎯

      แนวคิดนี้เกิดจาก Passion และความมุ่งมั่นของความเป็นมนุษย์ เมื่อได้เข้าไปทำงานแล้ว พยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อเข้าใจในงาน และสะสมความรู้ให้ได้เยอะกว่าคนอื่น สิ่งนี้เชื่อว่าก็เป็นอีกสิ่งที่คนทำงานมักจะได้ยินบ่อยๆ บางคนอาจจะมีความเชื่อเรื่อง Work life balance แต่สำหรับคนที่มีเป้าหมายอยากจะทำธุรกิจ เชื่อว่าเมื่อคนเป็นเจ้าของกิจการแล้ว การนอนน้อยแทบจะเป็นเรื่องปกติ บางครั้งแทบจะหลับไม่ลง เพราะสุดท้ายแล้ว 🌟🌟”ธุรกิจ คือ ชีวิตของเราที่เราสร้างมันเอง“🌟🌟

      —————————–

      4️⃣ Connection 🛜👯

      การที่เราจะหาวัตถุดิบ หรือวัสดุดีๆได้ ให้ไปขอใครเขาเฉยๆคงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเรามีกลุ่มคนที่เคยร่วมงานกันมาก่อน การจะนำวัตถุดิบ หรือวัสดุดีๆมาก็ไม่ยากซะทีเดียว

      การทำธุรกิจ แน่นอนเราไม่สามารถทำมันขึ้นมาได้ด้วยตัวคนเดียว หากเรามีคนที่รู้จัก สนิทใจที่จะพูดคุย และสามารถทำธุรกิจร่วมกันได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดี การคิดถึงประโยชน์ของทุกฝ่ายย่อมทำให้ตัวธุรกิจสามารถไปต่อได้ เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ทำงาน พยายามออกไปใช้ชีวิต หาเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมธุรกิจ เพราะไม่แน่ในอนาคต เราอาจจะต้องการใครสักคนที่จะคอยช่วยเหลือ หรือเป็นเราที่เข้าไปช่วยเหลือก็เป็นได้

      —————————–

      5️⃣ ความไว้ใจหมดลงได้เพราะความเชื่อใจ 🔐👀

      ต่อจากข้อเมื่อกี้ในแง่ของการทำธุรกิจ ต่อให้ญาติสนิท เพื่อนสมัยเรียน หรือคนรู้จัก หากทำธุรกิจร่วมกันหรือมีเรื่องใดให้ช่วยเหลือกันแล้ว สิ่งที่ต้องรักษาไว้คือความเชื่อใจ อย่าทำให้อีกฝ่ายหมดความไว้ใจ เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้ธุรกิจใหญ่แค่ไหนก็ไปไม่รอด

      —————————–

      6️⃣ หาช่องว่างตลาดให้เจอ 📈💹

      ความเชื่ออย่างนึง ที่อยากให้ทุกคนทดลองดู คือ 🧨🧨“ในทุกตลาดที่เราลงไปเล่น มันมักจะมีช่องว่างที่ซ่อนอยู่ให้เราเสมอ”🧨🧨

      หมายความว่าต่อให้ธุรกิจที่เราจะสร้างนั้นมีคู่แข่ง หรือผู้ท้าชิงเยอะแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วมันจะมีลู่ทางให้เราได้วิ่งเสมอ พยายามหาให้เจอ โดยอาศัยการศึกษาหาความรู้ การค้นคว้าเพิ่มเติม รวมทั้งพยายามศึกษาคู่แข่งในตลาดเดียวกัน และลงมือทำในสิ่งที่แตกต่าง

      การทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้ได้กำไร ให้ธุรกิจไปต่อได้ แต่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกับทุกการเติบโต เราทำอย่างไร คู่แข่งทำอย่างไร เรียนรู้จากประสบการณ์ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ของคนอื่นก็สามารถนำมาปรับใช้ เพื่อให้เราก้าวไปยังจุดที่ดีกว่า แตกต่างกว่า เพื่อไปให้ได้ไกลกว่า

      —————————–

      7️⃣ ให้โอกาสคน ใช้คนให้ถูกกับงาน

      การทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่เก่งงานอย่างเดียว ต้องเก่งคนด้วย ถึงจะไปกันรอด ทักษะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคนทำธุรกิจ คือ เรื่องของการรู้จักให้โอกาสคน และการใช้คนให้ถูกกับงาน ต้องมองให้เห็นว่าสิ่งที่คนที่ทำงานกับเรา โดดเด่นในเรื่องอะไร และทำอย่างไรให้บุคคลนั้นสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ เพราะ

      📣📣“เราสร้างธุรกิจได้แต่เราขับเคลื่อนธุรกิจนั้นด้วยตัวคนเดียวไม่ได้”📣📣

      หาเพื่อนร่วมทีมที่ไว้ใจได้ หางานให้ตรงกับทักษะที่คนในทีมมี และเมื่อพร้อมก็ลงสนามไปลุยด้วยกัน

    6. [สรุป] “ชรัส เฟื่องอารมย์” ในวัย 73 ปี กับปีที่ 43 ในวงการเพลงและการตกผลึกชีวิต

      [สรุป] “ชรัส เฟื่องอารมย์” ในวัย 73 ปี กับปีที่ 43 ในวงการเพลงและการตกผลึกชีวิต

      🎤🎧 เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า คุณ ชรัส มองว่าอะไรที่ทำให้อยู่วงการเพลงได้นาน 🎤🎼

      คำตอบของ คุณ ชรัส คือ เนื้อเพลงที่ร้องและทำนอง รวมถึงภาษาที่ใช้ในแต่ละเพลง ไม่ว่าจะเป็นรูปประโยค หรือคำบางคำ มีที่มาจากประสบการณ์ของตนเอง ทุกคนที่ยังฟังเพลงเหล่านี้อยู่ ต้องเคยผ่านประสบการณืเหล่านี้กันมาทุกคน ทุกคนเคยมีความรัก ทุกคนเคยมีความทุกข์ และทุกคนเคยมีความสุข เพลงทุกเพลงมีชีวิตอยู่ในตัวมันเอง และตอนนี้รู้สึกว่ายังมีความสุขที่ หลายคนพูดถึง หลายคนยังชื่นชมกับบทเพลงเหล่านี้อยู่

      ———————————————

      ⭐️⭐️ ผลงานใหม่ในวัย 73 ⭐️⭐️

      นอกเหนือจากผลงานเพลงในอดีตแล้ว ณ ตอนนี้ คุณ ชรัส เองก็มีผลงานเพลงที่พึ่งปล่อยออกมาได้ไม่นาน ทั้ง

      – รักเธอมากกว่าจักรวาล 🪐 และ ไม่แก่เกินไปที่จะรัก ❤️

      ซึ่งทั้ง 2 บทเพลงที่กล่าวถึง เป็นบทเพลงรักทั้งคู่ เพราะมีความเชื่อว่า ไม่มีใครไม่รู้จักความรัก และแนวเพลงรักเป็นเพลงอมตะ เกิดขึ้นกับทุกคนไม่ว่าจะ รักพ่อแม่ / รักเพื่อน / รักแฟน / รักครอบครัว หรืออื่นๆ พัฒนาไปตามช่วงวัย และทาง คุณ ชรัส ได้กล่าวว่าทั้ง 2 บทเพลงนี้ใช้เวลาในการแต่งเพลงนานมาก กว่าจะจบออกมาได้ มองว่าที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะว่า แต่เดิมเราแค่มีประสบการณ์ เราเอามาแต่งได้ แต่ถ้าให้แต่งเพลงรักในยุคสมัยนี้ สำหรับคน 70 กว่า แล้ว จะให้ไปร้องเพลงรักๆใคร่ๆก็คงไม่ใช่ แต่ละช่วงวัยเรามีความรักที่แตกต่างกัน ต่างช่วงวัย ต่างมุมมอง จากประสบการณ์ที่ตนเองเคยพบเจอ

      ดังนั้นเมื่อเราติดว่าจะให้ออกมาเป็นแบบไหน ก็ต้องปรึกษากับหลายๆคน เลยทำให้บทเพลงออกมาได้แบบสมบูรณ์ ชี้ให้เห็นว่า บทเพลงที่แต่งออกมาในตอนนี้ เกิดจากความร่วมมือหลายๆคน โดยได้รับข้อมูลจากหลายๆฝ่าย ช่วยเหลือให้มันเกิดขึ้น

      ———————————————

      🎵🎵ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ก็ยังไม่หยุดสร้างงานเพลง 🎵🎵

      คุณชรัส ยังได้บอกอีกว่า ตอนนี้อยากจะทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดเรื่องชื่อเสียงหรืออะไรก็ตาม ขอแค่ไม่ให้รู้สึกว่างๆ เพราะเรายังมีพลังงาน ยังอยากจะสร้างผลงานออกมา เพราะถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีเราจะจากโลกนี้ไป อย่างน้อยขอแค่เราได้เดินไปข้างหน้าอีก 4 – 5 ก้าวก็ยังดี

      🟡ไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง แต่เพื่อให้ชื่อเรายังคงอยู่🟢

      🔔🔔 ตามสมัย แต่ไม่ตามเส้นทางใคร 🔔🔔

      ในช่วงกลางบทสัมภาษณ์นี้ คุณ ชรัส ได้กล่าวถึง ยุคสมัยปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งอดีต ตอนนี้ โลกเปลี่ยนไป ตัวเราเอง

      👉🏼👉🏼“ต้องตามโลก แต่ไม่ต้องตามใคร”👈🏼👈🏼

      หมายความว่า ต้องเรียนรู้เรื่อยๆ แต่ไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางใคร ขอแค่เดินตามเส้นทางที่เราอยากเดิน แม้มันจะเป็นเส้นทางแคบๆเล็กๆ แต่เราก็ได้เส้นทางที่เราอยากเดิน รวมถึงในยุคนี้ ถ้าเราไม่รู้จักดูให้เยอะ ฟังให้เยอะ ก็เป็นไปได้ที่เราจะตามคนอื่นไม่ทัน ต้องรู้จัก

      👉👉“เปิดกว้าง และอย่าอยู่ในโลกของตัวเองมากเกินไป”👈👈

      ถ้าเราไม่รู้อะไรก็ต้องถามเยอะๆ และต้องรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเสมอ อย่ามี Ego เยอะ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า

      ———————————————

      😷😷 การดูแลสุขภาพกายในวัย 70 😷😷

      หลายคนอาจไม่รู้ว่า คุณ ชรัส นั้นตอนที่เป็นนักร้อง ตัวเขาเองก็ร้องเพลงด้วยทำงานประจำไปด้วย ในสาย การเงิน ธนาคาร มีหลายอย่างที่ตัวเขาเอง เรียนรู้จากคนรอบข้าง ทั้งในเรื่องของการดูแลตัวเอง ให้ห่างไกลจากโรคภัย ไข้เจ็บ เมื่อตอนทำงาน เริ่มสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เริ่มมีโรคเข้ามา ก็เริ่มเตรียมพร้อมดูแลร่างกายของตนเอง ก่อนที่จะเข้าอายุ 60 เริ่มเข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย พอเกษียณ ก็เริ่มดูแลตัวเองจริงจัง จนตอนนี้ยังไม่เคยกินยาประจำ มีแค่วิตามินอาหารเสริมเท่านั้น และที่สำคัญเลยสำหรับทุกคนต้องมีวินัยในการดูแลตัวเอง การดูแลตัวเองนั้นยากมาก ต้องอาศัยทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ แต่ถ้าทำได้สุขภาพจะแข็งแรงแน่นอน เพราะอย่างน้อย ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ขอแค่ทำยังไงก็ได้ให้มันดูดีหน่อย

      ———————————————

      💛💛 การดูแลจิตใจ 💛💛

      คุณ ชรัส เป็นผู้ที่เชื่อว่า การปฏิบัติธรรม ช่วยดูแลจิตใจ และท่านทำอยู่เป็นประจำ โดยการเข้าสถานปฏิบัติธรรม เพราะแต่เด็กเลยเป็นคนที่อยากรู้ พออยากรู้ ก็ต้องลองทำ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ โดยท่านให้แนวคิดว่าที่สำคัญของการฝึกจิต เอาไว้ว่า การฝึกจิต คือการดูใจตัวเอง ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ การฝึกจิตนั้นทำให้เรานิ่งขึ้น ไม่หวั่นไหวกับอะไรก็ตามที่เข้ามา การที่เราพยายามฝึกปกฺบัติธรรมนั้นเพื่อเข้าสู่ธรรมะ เพราะทำให้เราคุมสติได้อยู่เสมอ ลองดูรอบๆตัว ส่วนใหญ่คนที่ทำอะไรผิดพลาด ล้วนเกิดมาจากความไม่มีสติ ยิ่งพออายุมากขึ้น เรายิ่งต้องการธรรมะ เพราะคนที่อายุมากขึ้น จะเริ่มมี Ego ในตัวเอง ตามที่เขาบอก “ยิ่งแก่ ยิ่งเยอะ” เราต้องพยายามทำตัวเองให้ดีที่สุด อย่าเป็นภาระใคร พออายุมากขึ้น ให้เรามองว่าอะไรก็ตามที่เราช่วยตัวเองได้ ดีที่สุด รวมทั้งจิตใจด้วย ถ้าจิตใจของเราสงบได้ เราจะเข้าใจทุกอย่าง และพอถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เราก็จะสามารถเตรียมพร้อมทั้งจิตใจ และร่างกายได้ง่าย

      ———————————————

      👯👯 เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อน ดึกดำบรรพ์ 👬👬

      ในเรื่องความสัมพันธ์ของเพื่อน อันนี้ คุณ ชรัสก็บอกว่า สำคัญไม่แพ้กัน จะคบกับใครสักคน ต้องคบกันโดยไม่หวังผล ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ทำทุกอย่างด้วยความรัก เป็นเพื่อนกันจริงๆ พอเติบโตมาจนอายุเข้าเลข 7 แบบนี้แล้ว การมีเพื่อน ที่ได้พยายามหากิจกรรมทำด้วยกัน มันทำให้เรา มีความสุขที่ได้รวมตัวกัน เหมือนกลุ่มเพื่อนที่ร่วมกันนั่งกินเหล้าด้วยกัน เพราะถ้าปล่อยให้อยู่เฉยๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไป มันก็ไม่ใช่แล้วอายุขนาดนี้ ต้องหากิจกรรมอะไรทำ คิดเอาไว้เสมอ

      👉🏼👉🏼👉🏼“ชีวิตมันก็แค่นี้แหละ”👈🏼👈🏼👈🏼

      🚶🏼‍♂️🚶🏼‍♂️ ข้อคิดของคนมีชีวิตยืนยาว ไม่กี่ปีก็จากไปแล้ว 🚶🏼‍➡️🚶🏼‍➡️

      พอเดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งที่คิดไว้เมื่อครั้งอดีต มันเอามาใช้ไม่ได้กับตอนนี้แล้ว ตอนนี้คิดได้แค่ว่า

      👉🏼👉🏼👉🏼“ไม่โลภ ไม่ละโมด ไม่เห็นแก่ได้ = ใจเป็นสุข”👈🏼👈🏼👈🏼

      ขอแค่หาความสุขในชีวิตประจำวันก็ดีแล้ว แค่มีชีวิตที่มีคุณภาพก็เพียงพอแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตนี้จะสอนให้เรา “พึ่งตนเอง”

    7. [สรุป] อาชีพ Producer : สะท้อนมุมมองให้ผู้กำกับ เพื่อปีนกำแพง เอาชนะใจคนดู กับ วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์

      [สรุป] อาชีพ Producer : สะท้อนมุมมองให้ผู้กำกับ เพื่อปีนกำแพง เอาชนะใจคนดู กับ วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์

      🎬🎬 นิยามคำว่า “โปรดิวเซอร์” 🎬🎬

      ทางพี่วรรณ ให้นิยามเอาไว้อย่างนี้ว่า เป็น “ผู้สร้าง / ผู้ริเริ่ม / ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ”

      หน้าที่หลักๆ ของการเป็น โปรดิวเซอร์ คือ การหางาน หาผู้กำกับ หานักแสดง เราเปรียบเสมือน คนที่ริเริ่มโปรเจ็คอะไรสักอย่าง มีไอเดีย เอาไอเดียไปขาย หาทีม เพื่อทำให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้น ออกมาเป็นภาพยนตร์ให้คนดูได้ชมกัน

      นอกเหนือจากนั้น จะต้องเป็นคนที่คิดเยอะมากๆ เพราะการที่จะทำภาพยนตร์สักเรื่อง สิ่งที่โปรดิวเซอร์จะคิดถึง คือ การจะทำอย่างไรให้คนดูรู้สึกคุ้ม และพร้อมจะจ่ายเงินเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ในโรง

      ————————————————————-

      🦄 ผู้สร้าง ผู้ริเริ่ม 🦄

      ตลอดชีวิตการเป็นโปรดิวเซอร์นั้นไม่ง่าย เพราะการที่จะทำให้องค์ประกอบทุกอย่างออกมาให้เกิดความคุ้มค่า เริ่มต้นจากการดูที่ต้องนั่งอ่านสคริป อ่านไปเรื่อยๆ และคอมเม้น ไอเดียของผู้กำกับ ปรับแก้ไขร่วมกับทีม

      และยังต้องเป็นตัวกลางในการที่จะนำเสนอให้สตูดิโอเห็น และทำให้เขาสนใจที่จะลงทุน กับไอเดียของคุณ

      พี่วรรณ บอกว่า มีหลายครั้งเลยที่เรามีไอเดีย บางไอเดียอยากทำ แต่ยังไม่มีคนที่ดูแล้วจะทำได้ ก็ต้องพับเก็บไอเดียนั้นไว้ก่อน

      บางไอเดีย เกิดจาก ประสบการณ์ที่พบเจอ หรือความรู้สึกร่วมที่ก่อเกิดขึ้น

      ยกตัวอย่างเช่น ภาพยนตร์เรื่อง 🏠 ลัดดาแลนด์ 🏠ในตอนแรก ตัวหนังจะเป็นการแก้อาถรรพ์ ไล่ผี แต่ก็มองว่าถ้าทำแบบนี้ คนดูน่าจะเบื่อ เพราช่วงนั้นในตลาดเรามีหนังประเภทนี้เยอะแล้ว เราต้องหาจุดร่วมใหม่ เลยได้ไอเดียจากการที่ผู้กำกับไปอ่านเจอบทความหนึ่ง พบว่า ถ้าผู้ชายอายุ 40 ไม่มีบ้าน ก็จะไม่มีบ้านแล้ว

      หมายความว่าการสร้างบ้านของคนๆหนึ่ง มันแทบจะเป็นการลงทุนทั้งชีวิต บวกกับภาวะเศรษฐกิจ เรื่องที่ต้องย้ายบ้านออกจากหมู่บ้านที่แม้จะมีคดีเกิดขึ้นนี้ไป จึงแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย อันนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญของตัวละครในเรื่องนี้ และเป็นการเล่าเรื่องในฉบับที่เราได้เห็นกันในโรง

      ————————————————————–

      ในการสร้างภาพยนตร์ออกมาสักหนึ่งเรื่อง ระยะเวลาก่อนที่จะเริ่มลงมือสร้าง บางครั้งก็นานไม่แพ้กัน บางทีแก้ไขบทกันก็อาจจะเป็นปี ต้องมีความอดทน และหาจุดร่วมของไอเดียเพื่อหาเส้นทางของหนัง

      ————————————————————–

      💡💡💡 ไอเดีย จุดร่วม และความรู้สึกใหม่ 💡💡💡

      จากที่เล่ามาจะเห็นได้ว่า การทำภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่การคิดบท ขึ้นมา หาทีม หานักแสดง ตัดต่อ แล้วออกฉาย มันมีรายละเอียดมากกว่านั้นมา และทุกอย่างนั้นล้วนเกิดจากความเข้าใจ มองภาพใหญ่ให้เห็นปลายทางของสิ่งที่เราจะนำเสนอ

      หากแต่เมื่อถึงเวลาลงมือทำ ให้พรรณาและทำไปทีละขั้นตอน

      กลับมายกตัวอย่าง จุดสำคัญของ ภาพยนตร์เรื่อง 🏠 ลัดดาแลนด์ 🏠 สุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อจากประเด็นสำคัญในเรื่องนี้คือ ความรู้สึกที่มองว่า “บ้านคือ Home ไม่ใช่ House”

      ในจุดนี้ ทำให้ความรู้สึกไปตรงใจกับใครหลายคนที่อาจจะเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย

      นี้เป็นตัวอย่างที่บอก คือ ให้เรามองที่ปลายทางว่าอยากให้คนดูเห็นอะไร เรื่องระหว่างทางมันจะมาเอง

      และส่วนสำคัญของการทำภาพยนตร์ เราต้องสร้างความรู้สึกใหม่ ให้คิดเสมอว่าความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เราสร้างนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราอยากจะมอบให้คนดู

      ————————————————————–

      🍿🍿 ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน 🍿🍿

      พี่วรรณ บอกเอาไว้ว่ากว่าที่ตนเองจะได้ทำทำหน้าที่ในจุดนี้ มันก็ผ่านมาหลายเรื่องราวมาก มุมมองที่อยากแชร์เลย คือ มองว่า อาชีพ กับ ทักษะ ไม่เหมือนกัน

      บางทีคนเรา เรียนมาเหมือนกัน แต่อาจจะเก่งกันคนละแบบ บางคนเก่งเรื่องการเขียนบท บางคนเก่งเรื่องมุมกล้อง บางคนเด่นด้วยทักษาะด้านการตัดต่อ

      มะนไม่สำคัญว่าคนแต่ละคน เรียนมาแล้วตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเป็นผู้กำกับ อย่างที่ใฝ่ฝันอย่างเดียว มันเป็นไปได้ที่เราจะเป็นผู้เขียนบทที่เก่งที่สุดในโลก เป็นไปได้ที่จะเป็นนักตัดต่อที่เก่งที่สุดในโลก = specialist

      หากอยากเป็นผู้กับกับ ความขยันและการฝึกฝนนั้นเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เพราะผู้กำกับ จะต้องรู้ทุกทักษะ = Generalist

      ไม่มีใครด้อยกว่าใคร เพราะทุกอาชีพล้วนมีคุณค่าในตนเอง

      ————————————————————–

      📀📀 โปรดิวเซอร์เองก็มองภาพนี้ เช่นเดียวกัน 📀📀

      มาถึงตรงนี้พี่วรรณก็ยกตัวอย่างให้เห็น มุมมองของการสร้างหนัง การแชร์ไอเดีย และการวิจารณ์บทภาพยนตร์ มันช่วยให้การปรับแก้ ลื่นไหล และสุดท้ายแล้วมันส่งผลดีออกมาต่อสิ่งที่เราคาดหวัง

      ยกตัวอย่างเช่น หนังเรื่อง 👵 หลานม่า 👵 ในตอนแรกที่ออกมาเลย ก่อนที่จะปรับแก้ไข ไอเดียเราอยากจะเล่าเรื่องความเป็นอยู่ของครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน แต่พอทำออกมาแล้วรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดูเป็นหนังจนเกินไป

      ทีนี้เราก็มามองกันใหม่ คอมเม้น และช่วยกันปรับแก้ โดยใช้ความรู้สึกว่า “ทำหนังให้ความรู้สึกมันเรียบง่ายที่สุด แต่ส่งผลกระทบถึงคนดูมากที่สุด” ให้เหมือนล่องเรือ แล้วเจอยอดภูเขาน้ำแข็ง

      ทีนี้ทุกคนก็มานั่งคุยกัน แล้วดูว่าประสบการณ์ ของแต่ละครอบครัวที่เคยเจอมีอะไรบ้าง อะไรเหมือนกันจดไว้ แล้วหยิบจับมาใช้ในภาพยนตร์ พอถึงจุดนี้ก็บอกได้ว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นเรื่อง เล็กๆน้อยๆ ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ แต่ถ้าคนดูใครก็ตามที่เคยผ่านประสบการณ์นี้ สุดท้ายแล้วมันจะ impact ต่อคนๆนั้น

      ————————————————————–

      🎥🎞️ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ 🎥🎞️

      ในตอนท้าย พี่วรรณได้บอกว่า การที่จะเป็นโปรดิวเซอร์นั้น จะต้องคิดให้เยอะๆ และพยายามตั้งคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่ดีๆ เพราะการตั้งคำถามดี คำตอบที่ได้ก็จะดีเอง

      เสริมเรื่องของการเติบโตในอาชีพ โปรดิวเซอร์ เส้นทางชีวิตของพี่วรรณ มันไม่เป็นอย่างที่คิด

      ทางพี่วรรณเริ่มต้นอาชีพ หลังจากเรียนจบ เริ่มจากการไปสมัครงาน ทำหน้าที่เป็นผู้ทำเนื้อหาบันเทิงใน Web site มาก่อนทำอยู่ได้สักพัก แล้วค่อยเริ่มเขียนนักวิจารณ์หนัง

      พอเราได้ทำไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนเห็น ได้ไปเขียนบทวิจารณ์ ในหนังสือ นิตยสารต่างๆ พอเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง ก็เริ่มได้เข้าวงการภาพยนตร์ที่ตรงเองใฝ่ฝัน

      ในจุดนี้พี่วรรณ ต้องการจะบอกว่า ให้เราทุกคน เรียนรู้และฝึกฝนอยู่เป็นประจำ แล้วหาทางแสดงศักยภาพออกมา เมื่อเราเตรียมพร้อม โอกาสจะมาเอง

      และที่สำคัญ ให้เราพยายามเรียนรู้ผ่านการทำงานจริง

      โดยเฉพาะอาชีพคนทำหนัง ให้คิดเสมอว่า “คนดูเป็นครูของเรา” ถ้าอยากเอาชนะใจคนอื่น อย่ามองแค่ว่าตนเองอยากทำอะไร “บางครั้งถูกใจเรา อาจจะไม่ถูกเขา” ลองลงมือทำ เพื่อให้รู้ว่าเราชอบจริงๆหรือไม่

      เรียนรู้ “How” ไปพร้อมกับการเรียนรู้ “What”

      ค้นหา 🔍 / ลงมือทำ ✅ / ฝึกฝน 📝

    8. [สรุป] Podcast รับมือกับความซวย by ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

      [สรุป] Podcast รับมือกับความซวย by ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน

      💚 เปลี่ยนโชคร้าย เป็นโชคดี 🧡

      ในต้นคลิปเราเริ่มต้น ด้วยการที่พี่โจ้ ธนา บอกว่า 👉“โชคดีเป็นสิ่งปลูกได้”👈

      จากงานวิจัย ของฝรั่งได้บอกว่า คนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดี โดยเฉลี่ยแล้วจะเป็นคนที่มีอะไรคล้ายๆกันใน 4 ข้อนี้ ได้แก่

      1️⃣ เป็นคนที่เป็นมิตร เปิดกว้าง และพร้อมวิ่งเข้าหาโอกาสใหม่ๆอยู่เสมอ

      2️⃣เป็นคนที่ฟังเสียงภายในจิตใจของตนเอง อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร หาทางที่จะไปยังจุดๆนั้น

      3️⃣ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี

      4️⃣ เป็นคนที่อดทน อึด ล้มแล้วลุกไม่ท้อ มองเห็นโอกาสในวิกฤตต่างๆที่เข้ามา

      และนอกจากเรื่องของความรอโอกาสแล้ว การเตรียมความพร้อมก็เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความโชคดี

      ดั้งสมการที่พี่โจ้ ได้บอกมาตลอด คือ

      🤩 โชค = (โอกาส + เตรียมความพร้อม) 🤩

      ทางเฮียวิทย์ ได้เสริมเพิ่มเติมว่า จริงๆแล้ว เราทุกคนควรเตรียมความพร้อมไว้เสมอ และเชื่อว่าในแต่ละคนจะมีช่วงเวลา Prime ของใครของมัน

      เมื่อถึงจุดนั้นแล้ว โชคจะดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการถนอมหรือการรักษาโชคของเราเอาไว้ด้วย ดังนั้นพอถึงจุดนี้ เฮียวิทย์จึงให้มุมมองว่า โชคดีของแต่ละคน เมื่อได้มันแล้วจะต้องรักษามันไว้ให้ได้ด้วย

      ⭐️⭐️ โชคดี = [(โอกาส + เตรียมความพร้อม)*รักษาโชค] ⭐️⭐️

      ————————————

      🍀 โอกาส คือการเดินทะลุประตูที่ปิดอยู่ (โชคดีที่ไม่มีโชค) 🍀

      เชื่อเถอะว่า คนที่มี Growth mindset จะช่วย ทำให้การปลูกโชค เติบโตได้เร็วขึ้น

      ถัดมาทั้ง 2 ท่านได้แชร์ประสบการณ์ และมุมมองกับการหาโอกาสเพิ่มเติมว่า นอกจากการที่จะนั่งรอโอกาสเพียงอย่างเดียวเพื่อการปลูกโชคขึ้นมา ถ้ามองกลับ. . . แล้วถ้าเราสร้างโอกาสขึ้นมาเลยน่าจะดีกว่าหรือไม่ (ปลูกโอกาส)

      โอกาสสร้างได้ ถ้าหาไม่เจอก็ต้องลองสร้างมันขึ้นมา ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ นอกเหนือจากการสร้างโอกาสแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการหา กัลยาณมิตร

      แม้จะมีความรู้ความสามารถเท่ากัน จบออกมาเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน การมีกัลยาณมิตร จะทำให้คนบางคนไปได้ไกลกว่า แล้วการที่เราจะหากัลยามิตรให้เจอนั้น ตัวเราเองก็ต้องทำตัวให้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีกับคนอื่นด้วยเช่นกัน (ปลูกกัลยาณมิตร) อาทิ เช่น

      👍🏻 ต้องเป็นคนนิสัยดี

      👍🏻 ต้องรู้จักให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ

      👍🏻 ต้องเป็นคนที่รู้จักการเรียนรู้อยู่เสมอ

      👍🏻 ต้องไม่โทษคนอื่น

      เราต้องหากัลยาณมิตรที่ดี แล้วต้องระวังอย่าให้ความเป็นมิตรของเรา กลับมาทำให้คุณค่าของความซื่อสัตย์เราลดลง “อย่าซื่อจนเซ่อ”

      โชคดี ไม่ใช่แค่รอฟ้าประทานเพียงอย่างเดียว เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้

      ——————————–

      👑 เจตจำนงค์ในการใช้ชีวิต เพื่อการปลูกโชค 🧚🏻‍♂️

      ต่อมาทาง เฮียวิทย์ ได้นำเสนอถึงความเชื่อของการใช้ชีวิต ของตนเอง โดยอ้างอิงจาก หลักเจตจำนงค์ 2 หลักการได้แก่

      🙉 Determinism – คนเรามีพื้นฐานชีวิตไม่เท่ากัน

      🐯 Free will – เรารู้ว่าเรามีพื้นฐานชีวิตเท่าไหร่ แล้วเราจะเติมเข้าไปเท่าไหร่

      ในส่วนที่1 เราแตะไม่ได้ แต่กลับกันเราแตะในส่วนที่ 2 ได้ โดยที่เราต้องรู้ก่อนว่าพื้นฐานชีวิต เรามีอะไรดีบ้างและอะไรที่ยังไม่ดี แล้วค่อยมาดูว่าเราต้องเติมอะไรเข้าไปบ้าง เรื่องที่ผ่านมาแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่อนาคตเราสร้างขึ้นมาได้

      เราปลูกในสิ่งที่เราปลูกได้ และเชื่อว่าโชคนั้นเป็น Man made เราปลูกมันได้

      —————————————–

      คำถามจากผู้เข้าร่วม

      1️⃣ สอบถามเรื่องของการมูเตลู ในมุมมองของการกราบไหว้บูชา และการมูเตลูนั้น ทางพี่โจ้ และ เฮียวิทย์มีมุมมองอย่างไร

      คำตอบ

      – การกราบไหว้ และการมูเตลู มองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจ และความสบายใจให้กับบุคคลคนนั้น

      – การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือการ อยู่กับสติ และมีจิตใจที่จดจ่อกับสิ่งที่เรากราบไหว้อยู่นั้นเอง

      2️⃣ เทคนิคในการรอโชคมีเทคนิคอะไรที่สามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ให้คนยังทนรอโชคของตนเองอยู่

      – การเตรียมความพร้อม ทำให้เราไม่เสียเวลาไปเปล่าๆ ถ้าไม่เตรียมความพร้อม อย่างไรก็ Zero เตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา

      – เราไม่ต้องรู้ทุกอย่าง ขอแค่เราทำแล้วเรา Enjoy กับมัน เมื่อทำบางอย่าง แม้ไม่เกิดผลอะไรขึ้น แต่เชื่อเถอะเราทุกข์ใจน้อยลง ที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ

      – ถ้ารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ขอเพียงแค่อย่างเดียว “เสียอะไรก็ได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ”

      – และอีกอย่าง เราทำการบริหารจิต เมื่อโอกาสมาเมื่อไหร่ มันจะมาจังหวะถูกเสมอ

      3️⃣ ไอเดียการที่เรามีโชคอยู่ เราจะรักษามันไว้อย่างไร

      – ต้องรู้ว่าเรายังไม่รู้อะไร “อย่าโชคร้าย ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี”

      – ทุกช่วงชีวิตเรามีขึ้นมีลงเสมอ วันไหนที่ลง ถ้ามีเพื่อนฝูง กัลยาณมิตร และ สุขภาพดี ถือว่าคุณมีโชคดี

      – และที่ห้ามลืมเลยโดยเด็ดขาด คือ การมีความสุภาพไว้ให้กับทุกคนเสมอ เพราะความสุภาพไม่มีต้นทุน

      4️⃣ ถ้าถึงจังหวะซวยที่สุด ทั้ง 2 ท่านจะทำอย่างไร

      – ความนิ่ง จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านไปได้ดีที่สุด ถ้าเจอความซวยบ่อยๆ การนิ่งเฉย แล้วความซวยนั้นจะหายไปเอง

      – เชื่อเสมอว่า ยิ่งซวยเร็ว ยิ่งโชคดี ศึกษากับความซวย

      – และที่สำคัญ ความนิ่งเฉย แสดงออกถึงความสุขุม ความไม่ประมาทกับสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะ มนุษย์ คือ ผลรวมของสิ่งที่เรากระทำ

      – จงใช้ความละเอียดในการใช้ชีวิต

      5️⃣ พาให้จิตใจที่หมกหมุ่นกับเรื่องโชคออกมาในทางที่ถูกต้อง

      – น้ำเฉี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง บางคนอาจจะไม่ชอบที่มีคนมาขัดขวาง สิ่งที่เราจะทำได้ อาจจะต้องเป็นการติงเป็นคำๆ (วิธีแบบเซน) ในจังหวะที่เหมาะสม

      – ทำให้เขาเปิดใจก่อน ค่อยๆไปทีละขั้นตอน

      เพราะฉะนั้น การปลูกโชค รับมือกับความซวย ในแนวทางจะเป็นได้ดังนี้

      เริ่มจากการทำตนเองให้เป็นคนที > หากัลยาณมิตรที่ดี > เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ > สร้างโอกาส และมองหาโอกาสที่เข้ามา > สร้างโชคขึ้นมา > และรักษาโชคที่เกิดขึ้น

    9. [สรุป] วิชาใจสู้ วิชามานิต พิชิตหมื่นล้านด้วยคุณธรรม | The Secret Sauce EP.757

      [สรุป] วิชาใจสู้ วิชามานิต พิชิตหมื่นล้านด้วยคุณธรรม | The Secret Sauce EP.757

      Podcast นี้ พี่เคนมาชวนทุกคนทำความรู้จัก และทำความเข้าใจกับวิชาใจสู้ โดย คุณ มานิต อุดมคุณธรรม AKA เจ้าพ่อภูธร

      เจ้าของ ผู้สร้าง ผู้บริหาร ผู้ให้กำเนิด ธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ด้วยหนึ่งความเชื่อที่ว่า ‘ธุรกิจต้องตั้งอยู่บนคุณธรรมน้ำมิตร’

      ซึ่งทาง คุณ มานิต เอง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความลับของการสร้าง ธุรกิจ และการดิ้นรอดฝ่าฟันวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาทั้งในเรื่องของ การตั้งตัว ก่อร่างสร้างธุรกิจ พิษเศรษฐกิจ และปัญหาสุขภาพ ที่ผ่านมาเกือบทั้งชีวิต

      เรามาเรียนรู้ 5 วิชาที่ คุณมานิต จะมาสอนให้คนที่จะทำธุรกิจ ได้รู้จัก เข้าใจ และเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจจะเจอ ไปพร้อมกันๆ

      วิชาที่ 1️⃣ วิชาการขาย – sales man การทำธุรกิจคือการสร้างมิตร 🏷️👨‍💼🧾

      จุดเริ่มต้น ของการเป็น มานิต อุดมคุณธรรม

      คุณ มานิต เล่าว่า เป็นตัวเองนั้นเป็นคนจีนที่มาอาศัยอยู่ที่ไทย แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ ตั้งแต่เด็กๆ คุณมานิต อาศัยอยู่กับครอบครัวที่ต้องดิ้นรนตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ ก็ได้เริ่มต้นการเป็นนักขาย โดยเริ่มต้นจากช่วยขายล็อตเตอรี่กับคุณแม่ ฝึกการเป็น Sales man ตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นเมื่อโตขึ้นมาอีกสักหน่อย พี่ชายของคุณ มานิต ได้มีการขยับขยายออกมา ขายเสื้อฮาวาย ตัวเขาเองก็ออกมาช่วยพี่ชายโดยใช้เทคนิคการเป็นนักขาย ช่วงอายุ 14 – 16 ปี

      โดยอาศัยจุดเด่นของตนเอง เพื่อขายสินค้าให้ได้ คุณ มานิต ได้บอกว่าเทคนิคที่ดีสำหรับตนเองคือ

      ☝🏼ใส่ใจและพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานร้านค้า ที่เข้ามาสั่งสินค้ากับทาง คุณมานิต เมื่อทุกคนรู้จักแล้ว จะส่งผลถึงตัวยอดขาย

      ✌🏼มองให้ชัดว่าการทำธุรกิจ ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือการซื้อใจ เราต้องหามิตรแท้ในวงการธุรกิจให้เจอ

      ———————————————————-

      วิชาที่ 2️⃣ วิชาดึงดูดลูกค้า – ลูกวัวไม่รู้จักเสือ 🐯🐆

      หลังจากเติบโตในเส้นทางของการขาย และวงการธุรกิจ ในเวลาต่อมา คุณ มานิต เล่าถึงเรื่อง การสร้างธุรกิจของตนเอง โดยที่ธุรกิจที่เป็นที่รู้จักและมีคู่แข่งมากหน้าหลายตาในสมัยนั้น ตัวเขาเลือกทำธรุกิจที่เกี่ยวข้องกับ ห้างสรรพสินค้า ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ โรบินสัน ในวงการธรุกิจที่มีเจ้าใหญ่แต่เดิมอยู่แล้ว การตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้เราจะถือว่าเป็นตัวใหม่ในธรุกิจนี้ แต่ถ้ามีเทคนิคดี มันจะทำให้ยอดขายเราสามารถแซงหน้าคู่แข่งได้ การตลาด ต้องมองว่าไม่ใช่แค่สวยที่ลู่ทาง แต่ดูลึกถึงโลเคชั่นที่ตั้ง และอีกอย่างจากประสบการณ์การเป็น sales man สอนให้เราอยู่รอด เราต้องทำในสิ่งที่ดีกว่า และทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด

      คุณ มานิต ได้บอกว่าเทคนิคที่ดีสำหรับตนเองคือ

      👉😺 สร้างความแปลกใหม่เพื่อให้เป็นที่ดึงดูด เช่น โรบินสันแต่แรก ห้างสรรพสินค้าสมัยก่อน โรบินสันจะออกแบบชั้นล้างให้มีพื้นที่ส่วนกลาง แบบกว้างขวาง เวลาลูกค้าเดินเข้ามา จะรู้สึกปลอดโปร่ง และสามารถมองเห็นร้านค้าทั้งหมดในทุกๆชั้น ได้จากตรงนี้

      👉😹 ให้คู่แข่งเป็นทางผ่าน โดยการแจกของสมนาคุณ เมื่อลูกค้าซื้อของจากเรา ลูกค้าจะได้รับ ของเล็กๆน้อยๆเช่นการแจกกระดาษชำระ การแจกของต้องคิดถึงว่าอะไรที่ลูกค้าได้ใช้ประโยชน์และอะไรที่ลูกค้าใช้เยอะแน่ๆในชีวิตประจำวัน

      👉😻 ต้องถอดภาพลักษณ์ของตัวเองทิ้งออกไป แล้วทำให้เราเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าให้ได้

      ———————————————————–

      วิชาที่ 3️⃣ วิชาฝ่าวิกฤต พิษค่าเงิน – วิกฤตต้มยำกุ้ง 🦐🍤🦞

      หลังจากที่ทำธุรกิจได้ไปสักพักใหญ่ ก็มีเรื่องวิกฤตค่าเงินทำให้ต้องขายหุ้นให้กับ Central ทำให้ตัวของ คุณ มานิต ต้องถอยออกมาตั้งหลักชั่วคราว

      และทำให้คิดได้ว่า บางปัญหาที่เข้ามานั้นเกิดจากตัวเราที่เลือกแบบนั้นเอง โชคชะตาเรา บางครั้งอาจจะไม่สามารถสู้กับโชคชะตาบ้านเมืองได้ คุณ มานิต จึงได้ฝากข้อความให้กับนักธรุกิจ ทุกคนว่า ถ้าจะทำธุรกิจต้องมีความละเอียดรอบคอบ แม้ทุกอย่างจะดูดี ตอบโจทย์กับธุรกิจ แต่ทุกคนควรหาทางหนีทีไล่เผื่อไว้เสมอ

      หลังจากนั้นตั้วเขาก็ได้ไปร่วมทำธุรกิจใหม่สำหรับประเทศไทย คือ Home Pro ทางคุณมานิต ทำหน้าที่เพียงเข้าไป Support ในบางเรื่องโดยมีแนวคิดที่ว่า

      🧑🏼‍💼เมื่อมีคนที่เก่งกว่าเรา สิ่งที่เราทำได้คือการ สนับสนุนและเปิดโอกาสให้คนเก่ง ได้แสดงศักยภาพ

      🧑🏻‍🏫 บางครั้งการเข้าไปยุ่งทุกอย่าง จะเหมือนเราหลงตัวเอง และไม่ได้เคารพความคิดของคนอื่น

      👨‍💼 ในวงการธุรกิจ การทำงานหนัก และการโฟกัสที่ลูกค้า ทำให้เรามองคนออก ว่าคนแบบไหนมีศักยภาพมากพอที่จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับลูกค้าได้ เพราะลูกค้าทุกคนอยากได้ความพิเศษ เราต้องทำให้ลูกค้าได้รับในสิ่งที่เขาอยากได้

      ———————————————————–

      วิชาที่ 4️⃣ วิชาชีวิต พิชิต stroke 🩸🫀🧠😓

      หลังจากผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง จากพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่ทำให้ค่าเงินบาทเปลี่ยน บวกกับที่มันมาพร้อมกับสุขภาพย่ำแย่ลงของ ตัวเขาเอง ที่เกิดป่วยเป็นโรค stroke (หลอดเลือดสมอง)

      คุรหมอวินิจฉัยว่า ถ้าคุณ มานิต อยากกลับมาใช้ชีวิตปกติ แบบทุกอย่างครบถ้วน 100 % เขามีเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเองกลับมาเป้นปกติที่สุด จากคำวินิจฉัยนั้นเองทำให้เกิความคิดใหม่ขึ้นมาว่า การที่เราธุรกิจ และหาเงินอย่างเดียวในชีวิต มันไม่คุ้ม

      ต้องหันกลับมาดูแลสุขภาพ เพื่อทำให้ร่างกายแและจิตใจกลับมาเป็นปกติที่สุดในเร็ววัน ซึ่งหลังจากสุขภาพดีขึ้นนั้น เจ้าตัวก็ได้เปลี่ยนความคิด มองว่า เราโชคดีที่เราชนะ stroke ได้ และสิ่งที่สำคัญเลยคือ

      👉👉👉เราทุกคนจะท้อไม่ได้ ถ้าใจคุณท้อคุณจะแพ้ทันที ห้ามอ่อนแอ เราต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด การหาทางสู้ด้วยตัวเอง ในช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอ สมาธิเป็นส่วนสำคัญที่สุด ทำให้เราคิดทุกอย่างได้อย่างดี👈👈👈

      ———————————————————–

      วิชาที่ 5️⃣ วิชาเปลี่ยนขบวนท่า สร้าง Swan lake 🦢🦢🦢🦢🦢

      การเริ่มต้นใหม่ กับความคิดที่ว่า ต้องการจะสร้าง Swan lake คุณ มานิต เล่าว่า จากที่เราเปลี่ยนความคิด ธุรกิจนี้ เราเริ่มต้นด้วยหลักคิดที่ว่า 4อ. ซึ่งได้แก่ อาหาร, อากาศ, ออกกำลังกาย, อารมณ์ ในวงการนี้ แทบจากไม่มีใครเอาหลักคิด หรือแนวคิดนี้มาใช้กับสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้แล้วนั้น ตัวเองกับมีมุมมองว่า อย่าหาเงิน จนกระทั่งลืมสุขภาพ และอีกอย่างนึงคือการทำธุรกิจ เราต้องการที่จะแตกต่าง 4อ. ที่ว่าไม่ค่อยเห็นเอามาใช้กันนั้นแหละ ที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของคนที่เราเรียกว่า ลูกค้า ความกล้าโดยที่ต้องเสี่ยงตลอด เราเรียกว่า คนบ้า แต่หาก ความกล้านั้น มีหลักการโดยที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความแปลกใหม่ และเป็นความต้องการของลูกค้า อันนี้เรียกว่าการสร้างธุรกิจ

      จากทั้ง 5 วิชาที่ คุณ มานิตได้บอกกับเรา พี่เคน สามารถสรุปออกมาได้ เป็น 3 ข้อที่คนทำ ธุรกิจ นำไปปรับใช้ได้

      1. ใจกว้าง : การทำธุรกิจคือการสร้างมิตร ❤️

      2. ใจสู้ : ไม่เผื่อทางถอย ไม่เคยคิดถึงคำว่าแพ้ 💚

      3. ใจใหญ่ : เป็นผู้ประกอบการต้องการเสี่ยง 🧡