Author: Gappio

  • PROJECT Data Analysis

    สำหรับส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่ผมได้ลองหยิบ dataset จาก Kaggle มาลองใช้ทักษะทั้งหมดที่ได้เรียนมาเพื่อ ตอบคำถามจาก User ในที่นี้ User คือ Gemini

    ผมได้ทำการจ้างผู้เชี่ยวชาญโดยการให้สร้างให้ Gemini เป็นจำลองเป็น Manager ขององค์กรแห่งหนึ่งและทำการวิเคราะห์และตั้งโจทย์คำถามจาก dataset ที่เลือกมา แล้วผมจะเป็นผู้ตอบคำถามเหล่านั้น

    ซึ่งก่อนจะไปดู Project เหล่านั้นกัน เดี๋ยวผมจะขอลองยกตัวอย่าง Project สัก 1 ชิ้นที่ได้ใช้ทักษะของ Python และ library pandas และ numpy ที่ศึกษาจาก DataRockie Bootcamp มาให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นแนวคิด และเทคนิคพื้นฐานที่ผมนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และทำ Project ต่างๆกันดูนะครับ

    เริ่มต้นจากที่เรามี Dataset อยู่ 1 ไฟล์ เป็นไฟล์ .CSV เราจะใช้ทักษะของ python มาวิเคราะห์ข้อมูล แล้วตอบคำถามทั้งหมด 10+1 คำถามต่อไปนี้

    TODO 01 – how many columns, rows in this dataset
    TODO 02 – is there any missing values?, if there is, which colunm? how many nan values?
    TODO 03 – your friend ask for California data, filter it and export csv for him
    TODO 04 – your friend ask for all order data in California and Texas in 2017 (look at Order Date), send him csv file
    TODO 05 – how much total sales, average sales, and standard deviation of sales your company make in 2017
    TODO 06 – which Segment has the highest profit in 2018
    TODO 07 – which top 5 States have the least total sales between 15 April 2019 – 31 December 2019
    TODO 08 – what is the proportion of total sales (%) in West + Central in 2019 e.g. 25%
    TODO 09 – find top 10 popular products in terms of number of orders vs. total sales during 2019-2020
    TODO 10 – plot at least 2 plots, any plot you think interesting 🙂

    เราเริ่มจากการเพิ่ม library pandas และ numpy เข้าไปก่อน ** พยายามทำให้เป็นนิสัย **

    ขั้นตอนถัดไป ก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูล เราจะทำการ Check data ก่อนทุกครั้ง โดยการใช้คำสั่งต่อไปนี้ ** พยายามทำให้เป็นนิสัย **

    df.head() , df.tail()

    เพื่อเช็คข้อมูล 5 แถวบนสุด และ 5 แถวล่างสุดของ dataset

    จะเห็นได้ว่า column Postal Code จะมี missing values อยู่ 11 cell เราจะลองตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ โดยการใช้คำสัั่ง

    จากนั้น จะทำการดึงข้อมูล data จากไฟล์ต้นฉบับ ที่เอาเฉพาะ rows ที่มีค่า Postal Code เป็นค่าว่างออกมาสร้างเป็น dataframe ก้อนใหม่โดยเขียนเพิ่มเติมดังนี้

    df_missing = df[df[‘Postal Code’].isnull()]

    เท่านี้เราก็ได้ dataframe ก้อนใหม่ที่มี Postal Code เป็นค่าว่างออกมาเรียบร้อย



    คำถามข้อที่ 3 นี้ เป็นการ Filter โดย User อยากได้ข้อมูลเฉพาะ State ที่เป็น California เท่านั้น เราจึงต้อง Filter โดยใช้คำสั่งดังนี้

    df_cali = df[df[“State”] == “California”]

    เป็นการ Filter column “State” โดยเอาเฉพาะที่มีคำว่า “California” เท่านั้น และให้แสดงข้อมูลออกมาทั้งแถว และแทนค่าผลลัพธ์ในให้อยู่ใน dataframe ที่ชื่อว่า df_cali

    เมื่อได้ข้อมูลแล้วเราจะส่งไฟล์นี้กลับให้เพื่อเรา ซึ่งต้องการไฟล์ .CSV เราจะต้องเขียนคำสั่งดังนี้

    file_name = ‘california.csv’

    df_cali.to_csv(file_name, index=False)

    คำสั่งนี่เริ่มต้นจากกำหนดชื่อไฟล์ที่เราจะ export ออกมา ในที่นี้ไฟล์จะชื่อว่า california.csv

    จากนั้นใช้คำสั่งจากในการ create ไฟล์

    df_cali.to_csv(‘california.csv’, index=False)

    'california.csv': จะเป็นชื่อไฟล์ที่ต้องการสร้าง ส่วน index=False: เราจพใส่เพื่อป้องกันไม่ให้ index ของ Dataframe ถูก save ลงในไฟล์


    คำถามข้อที่ 4 นี้ เราต้องการหาผลลัพธ์ของ State ที่เป็น California และ Texas ในปี 2017 อิงจาก Column Order date เท่านั้น

    เริ่มจากการสร้างคำสั่ง Filter ตามโจทย์ความต้องการของ User ก่อน

    ผมเริ่มจากวันที่ก่อน เพราะต้องการเปลี่ยนรูปแบบวันที่ให้เป็น datetime เพื่อให้สามารถทำการเปรียบเทียบวันที่ได้ เพราะจากที่เราตรวจสอบในตอนต้นก่อนเริ่มทำการตอบคำถาม จะเห็นได้ว่า column Order date เป็น type Object ผมจึงใช้คำสั่งต่อไปนี้

    pd.to_datetime(df["Order Date"])

    จากนั้นเราเอาเฉพาะค่าที่เป็นปี 2017 โดยเพิ่มคำสั่งต่อท้ายดังนี้

    pd.to_datetime(df[“Order Date”]).dt.year == 2017

    คำสั่ง .dt.year หมายความว่า เอารูปแบบ Year ที่มีค่าเท่ากับ 2017 เท่านั้น

    หลังจากนั้นก็ filter อีกส่วนหนึ่งคือ State ที่เป็น California และ Texas

    จากนั้นก็นำทั้ง 2 ส่วนมารวมกัน โดยการ Filter มากกว่า 1 เงื่อนไข เราจะใส่เครื่องหมาย & เข้าไป เราสร้าง dataframe ใหม่ขึ้มาชื่อว่า df_cali_texas_in_2017

    พอเสร็จเรียบร้อยเราก็ Export ข้อมูลส่งให้เพื่อนเราใหม่อีกครั้ง


    คำถามถัดมาเราต้องการหาค่าของยอดขายในปี 2017 เพราะฉะนั้นก่อนอื่นเราใช้เทคนิคเดียวกับข้อเมื่อสักครู่ โดยการแปลง Column Order date ให้เป็นรูปแบบวันที่ก่อน

    pd.to_datetime(df[“Order Date”]).dt.year == 2017

    จากนั้นเราต้องการหาผลลัพธ์ของ Column Sales เราก็เลือกเฉพาะ Column นี้มา แล้วใช้ library numpy ในการใช้ function คำนวณยอดขาย และ Print ข้อมูลออกมาแสดง

    • ใช้เพื่อคำนวณ ยอดขายรวม
    • ใช้เพื่อคำนวณ ยอดขายเฉลี่ย
    • ใช้เพื่อคำนวณ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของยอดขาย

    คำถามนี้ไม่ยุ่งยาก User ต้องการให้ดูว่าผลกำไรของปี 2018 เราได้ผลกำไรจากสินค้าในกลุ่ม Segment อะไรมากที่สุด

    ผมจึงเลือกที่จะใช้ Groupby ในการจัดหมวดหมู่ของสินค้าแยกตาม Segment และให้แสดงผล Profit หรือกำไรออกมาในทั้งหมดทุกกลุ่มที่มีการขายสินค้าในปีนั้น


    คำถามข้อนี้เราจะไม่ได้ทำการแปลงค่าเป็น datetime แบบข้อก่อนๆ และเนื่องจากเหตุผลนี้ ทำให้ตอนที่ผลเขียนคำสั่ง Filter ข้อมูล column Order Date จึงใส่ ทำการใส่เครื่องหมาย “” ลงไปเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

    จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลเปรียบเทียบมาแล้ว ผมได้ทำการ Group by รวมข้อมูลออกมาโดยแบ่งตาม State และเอาข้อมูลยอดขายน้อยที่สุดออกมา โดยใช้คำสั่งดังนี้

    df_least_top_5.groupby(“State”)[“Sales”].sum().sort_values(ascending=True).head(5)


    ผมทำการเรียงลำดับค่า (Sort) ยอดขาย [“Sales”] จากน้อยสุดไปมากสุด โดยเอาเฉพาะ 5 ค่าแรกมาแสดง .head(5)


    คำถามข้อนี้ ต้องการให้คิด % ยอดขายสินค้าแยกตาม Region ในปี 2019 เราเริ่มจากการ Filter ค่าวันที่เหมือนข้อก่อนๆ

    pd.to_datetime(df[“Order Date”]).dt.year == 2019

    จากนั้นก็ทำการ Group by แยกตาม Region และให้แสดงค่า column Sales ออกมา

    พอได้ผลลัพธ์เรียบร้อย คำถามคือให้คิดเป็น % ดังนั้นผมจึงนำผลลัพธ์ที่ได้ เอามาหารด้วยค่ายอดค่ารวมทั้งปี 2019 แล้ว คูณด้วย 100 จะได้เป็นค่า % ยอดขายแต่ละภูมิภาค (Region) แล้วนำผลลัพธ์ไปสร้างเป็น Data frame ก้อนใหม่ ใช้ชื่อว่า df_2019_Region

    จากนั้นขั้นตอนสุดท้าย คำถามถามว่า สัดส่วนยอดขายรวม (%) ของภาคตะวันตก West รวมกับ ภาคกลาง Central คิดเป็นเท่าไหร่ในปี 2019 ผมจึงใช้วิธีพื้นฐานคือเอาค่าทั้ง 2 Region มาบวกกัน จะได้เท่ากับ 55%


    คำถามข้อนี้ต้องการให้หาว่า ช่วงระหว่างปี 2019 – 2020 สินค้าที่ขายดีในแง่ของคำสั่งซื้อ เทียบกับยอดขายรวมมีอะไรน่าสนใจบ้าง 10 ลำดับแรก

    ในคำถามนี้ สิ่งที่เราอยากได้คือค่า Quantity หรือจำนวนคำสั่งซื้อ Filter ในปี 2019 – 2020 เพราะฉะนั้นเราเริ่มจากการ Filter ในส่วนนี้ก่อน พร้อมแทนค่าเป็น Data frame ก้อนใหม่ที่ชื่อว่า df_2019_2020

    และสุดท้ายแสดงค่าผลลัพธ์ 10 ลำดับแรก


    คำถามสุดท้าย ผมได้ทำการนำ dataframe จากข้อก้อนๆมาหาความสัมพันธ์ในรูปแบบกราฟแสดงผลลัพธ์ โดยสร้างออกมา 2 กราฟ ดังนี้

    ความสัมพันธ์นี้ แสดงถึงผลกำไรของสินค้า เทียบกับส่วนลด จะเห็นได้ว่าสินค้าที่มีผลกำไรเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ไม่มีส่วนลด หรือลดไม่เยอะมาก ไม่เกิน 20% ในทางตรงกันข้ามสินค้าที่มีส่วนลดเยอะ จะไม่สร้างผลกำไรให้กับบริษัท 80%

    ส่วนกราฟที่ 2 นี้แสดงถึงค่ายอดขายรวมของ State California ที่เราส่งให้เพื่อนไปในตอนต้น โดยการเทียบเป็น Bar Chart ให้ดูว่า สินค้าหมวดหมู่ใดมียอดขายเป็นเท่าไหร่กลุ่มสินค้าตัวไหนยอดขายสูงหรือกลุ่มไหนยอดไหนต่ำ


    ก็จบไปเป็นที่เรียบร้อย ต้องบอกว่า Project ตัวอย่างนี้ เป็นการใช้ทักษะที่ได้เรียนจาก Data Science Bootcamp ใน Part ของ Python เพื่อนำมาใช้ตอบคำถามที่ทางอาจารย์ตั้งโจทย์ไว้ หวังว่าทุกท่านจะได้เห็นแนวคิด แล้วก็วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการข้อมูลในแนวทางของผมไปกันเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้จะเป็น Project ที่ทำนอกเหนือจากเนื้อหาที่เรียน โดยการหยิบ dataset จาก kaggle มาวิเคราะห์และตอบคำถาม จากโจทย์ที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ข้อมูลหรือในที่นี้คือ Gemini เป็นผู้คิดโจทย์ให้

    หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ


  • STOICS SERIES [ATHENODORUS]

    👑 อาธีโนโดรัส ผู้สร้างจักรพรรดิ 👑

    . . . นักปราชญ์ สโตอิก ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ องค์แรกที่ปกครอง อาณาจักรโรมัน. . .

    จากบทหนึ่งในหนังสือ LIVES OF THE STOICS

    . . . หลังจากที่ผ่านช่วงสงครามกลางเมืองมาได้ สาธารณรัฐโรมันได้สิ้นสุดลง หลังจากที่ จูเลียส ซีซาร์ ได้จบชีวิตลงไป และเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ณ ที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นอาณาจักรโรมัน พร้อมกับระบอบการเมืองใหม่ ที่อำนาจถูกกระจุกตัวอยู่กับผู้ปกครองที่ได้ชื่อว่าจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว และผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ คนแรก คือ ออกตาเวียน ผู้ซึ่งเป็นหลานชายของ จูเลียส ซีซาร์ นั้นเอง โดยในสมัยนั้น ตำแหน่งจักรพรรดิจะเรียกแทนว่า ซีซาร์ เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายระบอบการปกครอง แทนที่ลัทธิสโตอิก จะได้รับผลกระทบ เพราะเป็นลัทธิที่มาจากประเทศหรือเมืงที่อยู่ใต้อาณัติ คือเอเธนส์ แต่กลับกลายเป็นว่า แนวคิดของลัทธิสโตอิกนี้ยังคงอยู่ และยิ่งมีความสำคัญกับการปกครองในสมัยนั้นมากขึ้น โดยเฉพาะนักปราชญ์สโตอิกท่านหนึ่ง ที่ได้รับหน้าที่ในการเป็นครูของ ออกตาเวียน หรือ จักรพรรดิออกัสตัส ซีซาร์ เพื่อที่เป็นบุคคลที่จะชี้นำแนวทางการปกครองให้แก่จักรพรรดิหนุ่มผู้นี้เสียด้วย นักปราชญ์ที่ได้ชื่อว่า

    🤴“ผู้สร้างจักรพรรดิ อาธีโนโดรัส คานานีเทส” 🏛️

    💛 และต่อไปนี้เป็นแนวคิดที่ได้จากการดำเนินชีวิตของบุคคลทรงปัญญาผู้นี้

    ——————————————————

    1️⃣ ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง

    หลังจากที่สาธารณรัฐโรมันสิ้นสุดลง หลายคนคิดว่าถึงจุดสิ้นสุดของลัทธิสโตอิกแล้ว เพราะแนวคิดนี้เกิดขึ้นที่ดินแดนแห่งประชาธิปไตยอย่างเอเธนส์ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเสียทีเดียว โดยเฉพาะนักปราชญ์สโตอิกผู้ทรงปัญญา สามารถปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะหัวใจหลักของสโตอิกคือ การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้

    ตอนนี้อาณาจักรใหม่ได้ถือกำเนิด เหล่าผู้ทรงปัญญามีหน้าที่ ที่ต้องรับใช้และทำประโยชน์ต่อผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัยนี้เพื่อให้มันคงอยู่ต่อไป แนวคิดนี้เป็นแนวคิดหลักของชาวสโตอิกเลยก็ว่าได้ เพราะเชื่อว่า “เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ที่เราอยู่เหนือการควบคุมของตัวเราได้” และหน้าที่ของ อาธีโนโดรัส คือการหล่อหลอมหนุ่มน้อย ออกตาเวียนให้เติบใหญ่เพื่อเป็นจักรพรรดิในอนาคต 👑

    ——————————————————

    2️⃣ ทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มที่

    เมื่อได้รับหน้าที่ ที่สำคัญเช่นนี้ อาธีโนโดรัส ก็ไม่บ่ายเบี่ยง และพร้อมที่จะรับบทเป็นครู ของหนุ่มน้อยออกตาเวียน ไม่เพียงแค่นั้นเขายังคอยพัฒนาจิตใจของหนุ่มน้อยผู้นี้ และพยายามมอบบทเรียนที่ควรค่าให้แก่เขา นอกจากที่จะมอบความรู้ให้กับออกตาเวียนผู้ซึ่งหาญกล้า และจะเติบใหญ่เป็นจักรพรรดิในอนาคตข้างหน้า อาธีโนโดรัส ก็ยังสอนเรื่องต่างๆและมอบบทเรียนให้กับออกตาเวีย ผู้ซึ่งเป็นพี่สาวของออกตาเวียนอีกด้วย

    จะเห็นได้ว่า เมื่อได้รับหน้าที่สำคัญมาแล้ว สิ่งที่นักปราชญ์ท่านนี้ทำคือไม่ปฏิเสธ หรือผ่อนปรนอะไรก็ตาม แต่พร้อมที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มความสามารถเท่าที่คนผู้หนึ่งจะทำได้ อาธีโนโดรัส มีความเป็นครูอยู่ในตัวอย่างเปี่ยมล้น ข้อคิดได้สื่อถึงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันเสียด้วย หากเราได้รับหน้าที่อะไรก็ตาม จงระลึกว่า ทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ให้เราหาคุณค่านั้นให้เจอ ไม่ว่าบทบาทจะเป็นอะไร เราแค่ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่สำหรับคุณค่าที่เราเจอก็เพียงพอแล้ว 📝

    ——————————————————

    3️⃣ มีสติอยู่เสมอจะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้

    มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจจะฟังดูเป็นความเชื่อส่วนบุคคลอยู่เล็กน้อย ด้วยความที่ ออกตาเวียนนั้นเป็นคนที่เชื่อเรื่องโชคลาง และออกจะไม่ได้ว่านอนสอนง่ายมากนัก อาธีโนโดรัสผู้ซึ่งเงียบสงบ และเยือกเย็น เขาได้สอนการวางตัวให้กับว่าที่จักรพรรดิผู้นี้ผ่านเรื่องของเขา โดยได้เล่าว่า อาธีโนโดรัส ได้เช่าคฤหาสน์ขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ซึ่งคฤหาสน์นี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ ที่มีผีสิง เขาเล่าว่าเมื่อตอนเข้าไปอาศัยก็แทบจะได้เจอผีตนนี้ทันที เป็นผีที่โดนล่ามโซ่เหล็กไว้

    ณ ตอนนั้น เขากำลังเขียนหนังสืออยู่ จึงไม่ยอมให้ใครหรืออะไรก็ตามมารบกวน สิ่งที่เขาทำคือ ทำมือให้ผีตนนั้นรอแล้วกลับไปทำงานต่อ เมื่อทำงานเสร็จเขาจึงเดินตามผีตนนั้นออกไปที่สวน หลังจากนั้นผีตนนั้นก็หายไป เขาผู้ซึ่งทรงปัญญา ก็ใช้ความคิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับทำสัญลักษณ์ไว้ตรงตำแหน่งที่ผีตนนั้นหายไป เช้าวันถัดมา เขาได้เรียกให้คนงานขุดพื้นตรงตำแหน่งนั้น และสิ่งที่เจอคือโครงกระดูกโบราณที่โดนล่ามโซ่อยู่ อาธีโนโดรัสได้นำโครงกระดูกนั้นไปทำพิธีอย่างมีเกียรติ จากนั้นก็ไม่เจอผีตนนั้นอีกเลย

    ประเด็นสำคัญไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติเท่านั้น แต่สิ่งที่อาธีโนโดรัสต้องการบอกแก่ ออกตาเวียน คือ การมีสติอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อะไร แม้จะเจอเหตุการณ์น่ากลัวขนาดไหนก็สามารถแก้ไขได้ด้วยเหตุผลและความกล้าหาญที่มาพร้อมกับการมีสติ อย่าปล่อยให้เรื่องต่างๆมาครอบงำชีวิตและจิตใจของเราได้ เราต้องควบคุมชีวิตและจิตใจเราได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งนั้น 💚

    ——————————————————

    4️⃣ ปล่อยตัวเองให้อิสระ รู้จักพักผ่อนอย่าเข้มงวดเกินไป

    การยับยั้งชั่งใจ ความรู้ และความขยัน เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่จะปกครองผู้อื่นพึงมี มีคำกล่าวของ อาธีโนโดรัสว่า “จงใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนราวกับเทพเจ้ากำลังมองดูอยู่ และพูดกับเทพเจ้าราวกับมีคนฟังอยู่” หมายความว่า ต้องสร้างสมดุลให้กับชีวิต มีทั้งความสุขุมและความชื่นชม

    พยายามทำงานหนักโดยเน้นความสำคัญของการผ่อนคลายด้วย ไม่เพียงแค่พยายามทำทุกอย่างด้วยความเข้มงวดจนเกินไป พึงระลึกเสมอหากบางครั้งรู้สึกว่าเราทำงานหนักเกินไปต้องหาเวลาพักผ่อนร่างกายและจิตใจเสียบ้าง อย่าปล่อยตัวเองให้จมทุกข์อยู่กับแรงกดดัน และความโศกเศร้า เพราะมีแต่จะทำให้เหี่ยวเฉา ออกไปหาแรงบันดาลใจ ให้ความสุขและอิสระพัดผ่านร่างกายของเราเหมือนสายลมเสียบ้าง 🍃

    ——————————————————

    5️⃣ เมื่อโกรธขอให้รู้ว่ากำลังโกรธ

    บทเรียนสุดท้ายก่อนที่ อาธีโนโดรัสมอบให้ออกตาเวียน ซึ่งตอนนั้นกลายเป็น จักรพรรดิ ออกัสตัส ซีซาร์แล้ว คือการรู้ว่าตนเองรู้สึกโกรธอยู่ เขากล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่พระองค์กำลังรู้สึกโกรธ จงอย่าพูดหรือทำอะไรจนกว่าจะท่องอักษร 24 ตัวในใจจนครบเสียก่อน” เป็นคำแนะนำที่ดูธรรมดาหากเกิดกับบุคคลทั่วไป แต่นั้นเป็นคำแนะนำที่สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่เป็นจักรพรรดิ โดยเฉพาะเมื่อเราเป็นผู้ปกครอง นอกจากสติที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว การรู้ว่าตนเองกำลังโกรธสามารถช่วยยับยั้งความคิดชั่วขณะที่อาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับตนเองและบุคคลอื่นรอบข้างได้ 🔥

    ทั้งหมดนี้คือ 5 ข้อคิดที่ได้ในบทนี้จากหนังสือ LIVE OF THE STOICS หากท่านใดชื่นชอบแนะนำให้ลองหามาอ่านกันดูนะครับ

    ขอให้พระเจ้าอวยพร ❤️

  • STOICS SERIES [CATO]

    👑คาโตคนหนุ่ม คนเหล็กแห่งโรม📝

    . . .ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาแล้วก็คิดว่าน่าจะเอาเรื่องราวบางตอนมาแชร์ให้ทุกคนได้ลองศึกษาแนวคิดไปพร้อมๆกันน่าจะดี ครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวจากหนังสือเล่มที่ชื่อว่า LIVES OF THE STOICS เป็นหนังสือที่บอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปรัชญาสโตอิก ผ่านช่วงเวลา วัฒนธรรม สงคราม การเมืองไปจนถึง มุมมองการใช้ชีวิต วิถีชีวิต ตั้งแต่อดีตอันยาวนาน ผ่านชีวิตของนักปราชญ์ชาวสโตอิกในสมัยนั้น ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น ทำให้เราสามารถไล่เรียงเหตุการณ์จากช่วงเริ่มต้น จนถึงจุดสิ้นสุดของ “ระเบียงทาสี” และการส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่นของแนวคิดอันทรงคุณค่าของลัทธิสโตอิกนี้ ได้ก่อให้เกิดนักปราชญ์ขึ้นมากมาย

    และเป็นนักปราชญ์หนึ่งในนั้น ที่ผมได้อ่านแล้วอยากจะมาแชร์ข้อคิดที่ได้จากเขา ผู้เป็นนักปราชญ์ที่ใช้แนวทางของชาวสโตอิกผู้หนึ่ง เขาได้แสดงความกล้า ความเที่ยงธรรม ความห้าวหาญ ที่น้อยคนนักทั้งสมัยอดีต และปัจจุบันจะมีได้

    นักปราชญ์ผู้ที่ได้ชื่อว่า คนเหล็กแห่งโรม นามของเขา “มาคัส พอร์ซิอัส คาโต“ ผู้เยาว์ หรือ (Cato the Younger) นักปราชญ์ นักการเมืองผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับ จูเลียส ซีซาร์ และต่อไปนี้คือแนวคิดที่ได้จากเขา

    ❤️ การกระทำสำคัญไม่แพ้การพูด ❤️

    ชีวิตของคาโตตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เป็นบุคคลที่หากเทียบกับนักปราชญ์ผู้อื่นแล้ว คาโตจะไม่ได้แสดงออกทางการพูด การเขียน หรือ แม้กระทั่งการสอนผู้อื่น แบบนักปราชญ์คนอื่นๆเมื่อครั้งอดีตมากนัก

    แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับคาโต คือ การแสดงออกผ่านทางการกระทำ เพื่อให้ผู้อื่นเห็นแนวคิดและตัวตนของเขาเสียมากกว่า

    เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทหารที่สังกัดอยู่ภายใต้การบัญชาการของลุงของคาโต มุ่งมั่นที่จะให้คาโตเมื่อครั้งเป็นเด็กช่วยพูดกับลุงเกี่ยวกับความเป็นพลเรือน

    แต่สิ่งที่คาโตในวัยเด็กทำคือ ไม่สนใจ เมื่อมีท่าทีแบบนั้นทหารคนนั้นเลยพยายามจะขู่ให้กลัว แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือเด็กน้อยผู้นี้กลับไม่กลัวแต่อย่างใด แถมยังจ้องตาไม่กระพริบไปหาทหารผู้นั้น ก่อนที่จะถูกจับห้อยหัว แต่กระนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมปริปากหรือพูดอะไรออกไป ทำให้ทหารผู้นั้นรู้สึกพ่ายแพ้ จนกล่าวกับตนเองและเด็กน้อยว่า “หากในโรมมีแต่คนแบบนี้ก็คงขู่ใครไม่ได้แล้ว” นั้นเป็นครั้งแรกที่คาโตแสดงให้คนอื่นเห็นถึงการกระทำอันแน่วแน่และไม่เกรงกลัวผู้ใด

    —————————————————————

    ❤️ อารมณ์ร้อนชั่ววูบคือภัยร้าย❤️

    ในช่วงเข้าสู่วัยเรียน คาโตเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ช้าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แต่สิ่งที่สำคัญเลยคือแม้จะเรียนรู้ช้าแต่คาโตเอง ก็เป็นเด็กที่จดจำได้อย่างแม่นยำ สิ่งไหนที่ได้ผ่านการเรียนรู้จากเด็กคนนี้ไป เขาสามารถจำมันได้แม่นราวกับศึกษามาเป็นร้อยๆรอบ เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก

    หากจะบอกว่านอกจากความจำที่เป็นเลิศแล้ว สิ่งที่คาโตมีมากกว่าเด็กคนอื่นคือเรื่องของความห้าวหาญ หรือเรียกว่าความอารมณ์ร้อนก็ได้

    เคยมีครั้งหนึ่งที่คาโตสอบถามคุณครูผู้สอนว่า “เหตุใดผู้คนถึงต้องนำของขวัญไปมอบให้กับนักการเมืองผู้หนึ่ง” คุณครูได้ตอบว่า “ที่คนผู้นั้นได้รับเกียรติขนาดนี้ไม่ใช่เพราะมีคนรักเท่านั้น แต่มีประชาชนบางส่วนที่หวาดกลัวเขาเช่นกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นคาโตจึงตอบไปว่า “แล้วเหตุใดท่านไม่มอบดาบให้ข้า ข้าจะได้ปลดปล่อยประเทศชาติจากการเป็นทาสอย่างไรเล่า!”

    จะเห็นได้ว่าคาโตมีความอารณ์ร้อน แบบตรงไปตรงมา ในส่วนนี้เองอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณครูพยายามพาคาโตไปรู้จักกับ สโตอิกเพื่อหวังว่าเด็กคนนี้จะได้เรียนรู้ปรัชญา และศาสตร์อื่นๆเพื่อนำพามาถึงความรู้จักควบคุมอารมณ์ และความคิดของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดถูกมากๆ

    เพราะในท้ายที่สุดลัทธิสโตอิก ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยนำพาให้คาโตได้พบกับความเจริญรุ่งเรืองของอาชีพบนเส้นทางแห่งยุคสมัยของการล่มสลายของประเทศและทำให้คาโตผู้นี้เป็นนักปราชญ์ และนักการเมืองผู้มีอิทธิพลต่อผู้คนได้มากมายในอนาคต

    —————————————————————

    ❤️ วาทศิลป์ก่อให้เกิดความเชื่อไม่เดียวดาย ❤️

    เมื่อได้ศึกษาเกี่ยวกับลัทธิสโตอิกแล้ว คาโตก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านวาทศิลป์ด้วย เพราะเขาอยากที่จะพูดเพื่อให้ผู้อื่นเขาใจในสิ่งที่เขาทำด้วย

    แต่เดิมอย่างที่เรารู้ๆกัน คาโตเป็นบุคคลที่ชอบกระทำมากกว่าการพูด โดยเขามีหลักคิดไว้เช่นนี้ว่า “ข้าจะเริ่มพูด ก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่จะพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เงียบเอาไว้จะดีกว่า”

    การศึกษาศาสตร์ด้านวาทะศิลป์นี้เองได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนตัวเขาเพื่อแสดงออกถึงความยุติธรรมทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในขณะนั้น และด้วยอุปนิสัยอันแน่วแน่ของเขาทำให้มีผู้คนเชื่อถือและยกย่องคาโตผู้นี้ด้วยเช่นเดียวกัน

    —————————————————————

    ❤️ ความเที่ยงธรรมสุดท้ายนำพาสู่ความเจริญ ❤️

    หลังจากที่เข้าสู่แวดวงทางการเมืองในสมัยนั้นได้แล้ว คาโตยังคงสร้างนิสัยความแน่วแน่อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่มาถึงที่ทำงานคนแรกของวัน และยังเป็นคนสุดท้ายที่กลับด้วยเช่นกัน

    เขาสร้างความซื่อตรงให้ผู้คนเห็นมามากมาย เขาเป็นบุคคลที่ไม่ยึดติดกับสิ่งของราคาแพง ความหรูหรา และความฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมา และห้าวหาญในแบบที่หายากมากในสมัยก่อน

    มีคำพูดที่ว่า “เราทุกคนไม่อาจะเป็นคาโตได้ทุกคน” คำพูดนี้เป็นตัวบอกว่าความเป็นคาโตนั้น หาได้ยากขนาดไหนสำหรับสมัยอดีต หรือแท้จริงแล้วอาจจะหายากในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน ความยุติธรรมและความซื่อตรงของคาโต นำพาให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองแบบเติบโตอย่างรวดเร็ว

    เมื่อครั้งอายุได้ 30 ปี ก็สามารถลงชิงตำแหน่งในวุฒิสภา และเอาชนะคู่แข่งมาได้ สิ่งที่คาโตเป็นนั้นสร้างความรู้สึกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนหมู่มากได้ก็จริง หากแต่ความเข้มงวดและความซื่อตรงนี้เองก็ย่อมสร้างศัตรูเช่นเดียวกัน

    —————————————————————

    ❤️ ความเป็นกลางสร้างได้ไม่มีหมด ❤️

    หลังจากที่ทำหน้าที่ของตนเองมีได้สักระยะหนึ่งตามแนวคิดและอุปนิสัยที่เป็นกลางต่อทุกสิ่งไม่เอนเอียง เขาสามารถใช้ชีวิตหรูหราได้ตามสบาย แต่คาโตไม่ทำแบบนั้น เขายังคงทำเหมือนผู้อื่นทั่วไป เดินไปตามท้องถนน ช่วยเหลือผู้ยากลำบาก ชื่อเสียงไม่ได้สำคัญ เท่ากับการทำความดี

    “แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่นานเราจะลืมมัน ในขณะที่ผลลัพธ์ของการทำดี จะไม่หายไปตราบเท่าที่เรายังอยู่” คาโตเชื่อว่างานของเขา คือการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และนำพาประเทศชาติให้ผ่านยุคสมัยที่สุ่มเสี่ยงจะล่มสลายนี้ไปให้ได้ เพราะนักการเมืองทุจริต และหลงมัวเมากับชื่อเสียงเงินทองในยุคนี้ทั้งหลาย

    คาโตเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เมื่อกระทำอะไรไป ผู้คนมักจะมองการแสดงออกของเขาอย่างทรงพลัง เขาจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เขากำลังฝึกฝน ที่จะสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเอง เมื่อต้องเผชิญทางเลือกที่สุขสบาย เขากลับเลือกให้ความยุติธรรมนำทางเขาไปในเส้นทางที่เขาเลือกไว้แล้ว

    แม้ผู้อื่นจะเลือกเส้นทางที่ตักตวงผลประโยชน์ให้กับตัวเองได้ แต่คาโตเลือกที่จะยุติธรรม เที่ยงธรรม และพยายามสร้างความตรงไปตรงมา ที่จะเป็นบ่อเกิดของการแตกหักระหว่างตัวเขากับคนบางกลุ่มในอนาคตอันใกล้

    —————————————————————

    ❤️ ซื่อตรงหัวขบถต่อผู้มีอำนาจล้น ❤️

    หลังจากที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติมาได้ระยะหนึ่งก็ถึงยุคสมัยของการปกครองของ จูเลียส ซีซาร์ ผู้ที่มีแนวคิดการปกครองประเทศชาติตรงกันข้ามกับคาโตเกือบๆจะทั้งหมด

    หากเปรียบเทียบบุคคล 2 คนนี้ อาจจะบอกได้ว่า “ซีซาร์ มุ่งมั่นทำงานหนักและตื่นตัวอยู่เสมอ เขาไม่ปฏิเสธสิ่งใดก็ตามที่มีค่าคู่ควรให้รับไว้ เขาปรารถนาอำนาจ กองทัพ และสงคราม ตรงข้ามกับคาโต เขาฝึกฝน ควบคุมตนเอง เขาไม่แข่งกับใคร ไม่ปรารถนาอะไร เคร่งครัดกับการทำความดีเพื่อส่วนรวม”

    การปกครองในยุคของ จูเลียส ซีซาร์ผู้นี้ คาโตแทบจะทำตัวเป็นหอกข้าวแคร่ ต่อต้านแนวคิดของซีซาร์และผู้นำร่วมอีกสองคน เขาขัดแย้งกับความทะเยอทะยาน และเผชิญกับความชั่วร้ายที่ก่อเกิดจากผู้นำ ด้วยตัวของเขาคนเดียว เขาพยายามที่จะชะลอการล่มสลายของประเทศชาติอย่างเต็มที่เท่าที่มือของชายคนหนึ่งจะฉุดรั้งไว้ได้

    —————————————————————

    ❤️ เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรด้วยความเป็นคน ❤️

    หลังจากการแตกหักกันของทั้งสามผู้นำของยุคนี้ บุคคลที่เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำ นามว่า ปอมเปย์ ได้ถอยห่างออกมาจากซีซาร์ แล้วมาร่วมกับคาโต เพื่อคาดหวังว่าจะพลิกฟื้นประเทศชาติให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนเก่า แม้ก่อนหน้านั้นทั้งคู่จะเคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ท้ายที่สุดหากต้องทำเพื่อประเทศชาติก็มองความเป็นพลเมือง และความเป็นคนของประเทศหันหน้าเข้ามาร่วมต่อสู้กัน

    นอกจากนั้น ปอมเปย์ เคยคิดจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้กับคาโต แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์การเมืองเขาไม่อยากให้ คาโตผู้นี้มีอำนาจมากจนเกินไป จึงได้ยกเลิกคำสั่งนั้นทิ้งไป

    แต่ถึงกระนั้นคาโตก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน และไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมา แถมยังเป็นผู้ที่ออกมาพูดเรียกขวัญกำลังใจให้กับกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเมืองด้วยซ้ำ เราจะเห็นได้ว่า คาโตแม้จะมีความห้าวหาญ และแข็งก้าว ก็เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะการณ์บางอย่างที่ผู้คนรอบตัวต้องการกำลังใจ หรือแม้แต่การยอมทิ้งความบาดหมางเอาไว้ และร่วมมือกับคนที่เคยเป็นศัตรูเพื่อประเทศชาติบ้านเกิด

    —————————————————————

    ❤️ อย่าสับสนตั้งมั่นในตัวเอง ❤️

    หลังจากที่สงครามระหว่าง 2 ขั่วอำนาจที่ฝ่ายหนึ่งนำโดย จูเลียส ซีซาร์ และอีกฝ่ายนำโดย มาคัส คาโต จบลงพร้อมด้วยชัยชนะของฝ่ายแรก คาโตและกองทัพที่รอดชีวิตได้หนีไปยังแอฟริกาเหนือด้วยความหวังว่าจะได้สู้ต่อไป

    แต่ทว่าชัยชนะมันได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ใช่ของพวกเขา หลังจากรู้ว่าชัยชนะไม่บังเกิดแก้ฝ่ายตน คาโตได้ยืนขึ้นแล้วพูดกับวุฒิสมาชิกและเจ้าหน้าที่ ที่เคียงข้างเขาไว้ว่า “บัดนี้ ถึงเวลาที่ทุกท่านจะกลับไปหา ซีซาร์ เพื่อร้องขอความเมตตา แต่ข้าขอเพียงสิ่งหนึ่ง สิงเดียวนั้นคือ อย่าขอร้องแทนข้า อย่าขออภัยโทษให้ข้า”

    เขาเชื่อว่าเขาไม่ได้แพ้ เขาชนะซีซาร์ในเรื่องของเกียรติยศ และความยุติธรรม เขาได้ยืนหยัดเพื่อปกป้องประเทศของตัวเองอย่าเต็มที่แล้ว

    หลังจากค่ำคืนนั้น คาโตได้ขอดาบอันแหลมคมประจำตัวของเขามาไว้ในครอบครอง และได้กล่าวคำพูดแก่ตนเอง เขากล่าวไว้ว่า “ตอนนี้ข้าเป็นนายของตัวข้าเองแล้ว”

    หลังจากงีบหลับไป ผ่านเข้าสู่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คาโตได้อยู่ตามลำพังและหลังจากนั้นเขาได้ทำสิ่งที่ตนเองใตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว คาโตชักดาบออกมาแล้วหลังจากนั้นเขาได้เขาทำการใช้ดาบเล่มนั้นแทงเข้าที่อกตัวเอง และจากนั้นเขาก็ได้สิ้นใจเสียชีวิตลงในวัย 49 ปี เป็นช่วง 46 ปีก่อนคริสตกาล การตายของเขาเป็นที่สรรเสริญของบุคคลร่วมสมัย ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับเหล่าคนรุ่นหลังอีกด้วย

    . . . จะเห็นได้ว่าชีวิตของนักปราชญ์ นักการเมือง ของ มาคัส คาโต ผู้นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะเติบโตจากครอบครัวที่สร้างฐานะมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่ด้วยอุปนิสัย และแนวทางการดำเนินชีวิตนี้เอง ทำให้เขาผู้นี้เติบใหญ่จนเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามอีกคนในยุคสมัยนั้น

    หวังว่าแนวคิด และข้อคิดนี้จากนักปราชญ์ผู้นี้จะมีประโยชน์กับทุกท่าน และสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของทุกท่านได้

    ขอให้พรเจ้าอวยพรทุกท่าน ❤️

  • [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    [สรุป] 11 ข้อคิดที่ได้จาก podcast : 3000 ศาสตร์ เซฟใจรักษาโอกาส เมื่อเจอ Favoritism (ลูกรัก vs ลูกชัง)

    ในสังคมการทำงานปัจจุบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่เจอกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างหรือผลิตผลงานออกมา แล้วได้รับการเปรียบเทียบทั้งในเชิงของคุณภาพงาน และความรู้สึกต่างๆ ใน EP นี้พี่แท็บ กับพี่อ้อย มาชวนคุยกันในเรื่องความสัมพันธ์ที่ทุกคนต้องเคยพบเห็นในสถานที่ทำงาน และต่อไปนี้ คือ 11 ข้อที่ผมได้เรียนรู้จากตอนนี้

    – ถ้าในบริบทขององค์กรจะหมายถึงบุคคลที่เป็นที่รักของเจ้านาย ทุกอย่างที่ทำจะอยู่ในสายตาของเจ้านาย และมีความเอนเอียงเข้าหาซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเกิดจากสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามา หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าลูกรักอาจเกิดจากการปฏิบัติตัว การกระทำ หรือการสร้างบางอย่างให้เจ้านายเห็นและทำให้เจ้านายรู้สึกว่าบุคคลคนนี้มีความสามารถและได้ใจเราไปแล้ว

    – สิ่งที่สำคัญเพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ ในเมื่อมีบุคคลที่สามารถแสดงออกให้เห็นว่าทำอะไรได้ และกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่แปลกที่คนที่มีอำนาจในองค์กร หรือเจ้านายจะชอบคนแบบนี้ เพราะสุดท้ายแล้วความสามารถด้าน Hard skill มันสามารถวัดค่าได้ แต่ความสามารถด้าน Soft skill จะเป็นตัวที่บอกว่าคนอื่นในองค์กรอยากจะทำงานกับบุคคลนั้นด้วยหรือไม่ เมื่อเราเป็นคนเก่งที่ทำงานเก่งแล้ว ก็จะต้องเป็นคนเก่งที่ทำงานได้ดีกับคนอื่นด้วย

    – ท้ายที่สุดต่อให้นิยามคำว่าลูกรักจะเป็นแบบไหนความยุติธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีอยู่ในโลก บ่อยครั้งที่คนเรามักจะเคยได้รับอะไรที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหวัง เราก็จะพร่ำบอกว่าสิ่งนั้นคือ “ความโชคดี” หากแต่ในทางกลับกันถ้าเราเป็นคนที่ไม่ได้รับหละ แต่เป็นบุคคลอื่นที่ได้รับของสิ่งนั้นไปไม่ได้เราก็อาจจะมุมมองบางอย่างหรือมีด้านที่มองว่า “ไม่มีความยุติธรรม” เกิดขึ้น แล้วเพราะอะไรหละ นั้นก็เพราะสุดท้ายแล้วคำว่าโชคดีหรือความยุติธรรมมันอยู่ที่วิธีคิด และมุมมองของแต่ละคนนั้นเอง

    – อย่างแรกไม่ว่าเราจะเป็นหรือไม่เป็นลูกรัก สิ่งสำคัญที่คนอื่นจะมองเราคือ เรื่องของการสื่อสาร และความเข้าอกเข้าใจคนอื่น (ใจเขาใจเรา) หากเราเข้าใจคนอื่น หรือให้ใจคนอื่นแน่นอนมันย่อมดีต่อความรู้สึกต่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่มากก็น้อย ก่อนที่เราจะพูดอะไรกับใคร ให้เราคิดถึงจิตใจของคนอื่นก่อนเสมอ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องงาน การออกความเห็นหรือเวลาพูดจากันและกัน หากแต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วการพัฒนา EQ โดยเฉพาะบริบทของคนทำงานมักจะเกิดขึ้นได้นั้น ส่วนใหญ่เริ่มจากเรื่องทักษะของการสื่อสาร หรือเรียกว่า “ศิลปะของการสื่อสาร” ยกตัวอย่างเช่น การชมก่อนติ เทียบกับการเปิดประเด็นที่ต้องการติแบบโท้งๆไปเลย คิดว่าคนที่ฟังจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน เมื่อถึงเวลาที่จะติหรือจะพูดอะไรให้คิดไว้เสมอว่า “ไม่มีใครอยากโดนด่า” ตลอดไปหรอก และไม่มีใครที่สามารถผูกขาดความอดทนได้เสมอ เราไม่รู้ว่าในแต่ละวันคนๆนั้นต้องเจอกับอะไรมาบ้าง ไหนผ่านอะไรมาบ้าง ถ้ารู้ตัวว่าสื่อสารไม่เป็นต้องรีบแก้ไข และย้ำอีกครั้งโดยเฉพาะคนทำงาน “ไม่มีความสำเร็จของงานเรื่องไหนไม่มีลมใต้ปีก”

    – ให้เราคิดไว้เสมอว่า การมีสติสามารถฝึกฝนกันได้แน่นอน เริ่มจากการลองปรับมุมมอง หากเป็นเราที่ถูกตำหนิ เราจะรู้สึกอย่างไร ถึงตอนนั้นเราจะเข้าใจบริบทของการเป็นผู้กระทำ และ การเป็นผู้ถูกกระทำ หากเรารู้สึกถึงความเจ็บปวด เราก็ต้องรู้จักทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ในบางเวลา บุคคลที่เราตำหนิไปอาจจะไม่ได้อยากจะให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้น การตักเตือนด้วยความหวังดี แทนที่การตำหนิอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกๆดีเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่ายได้ แม้เราจะไม่เข้าข้าง แต่ขอแค่อยู่ข้างๆก็ยังดีพยายามทำความเข้าใจ และใส่ความเข้าใจลงไปในสถานการณ์นั้นๆ โดยอยู่บนเงื่อนไขและกติกาว่า “ทุกๆคนอยากทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”

    – จดจำไว้ว่าทุกอย่างที่รู้ และทุกอย่างที่เป็นไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่าง ทุกปัญหาที่เข้ามานั้นมันมี 2 แนวทางเสมอ ได้แก่ ปัญหาที่ต้องแก้ กับ ปัญหาที่ต้องยอมรับ เราควรพึงระลึกไว้เสมอว่าคำถามที่เราควรตอบคือ “เราจะจัดการอย่างไรให้เจ็บปวดน้อยที่สุด“ แนวคิดที่สำคัญคือ ค่อยๆเริ่มจากการมองภาพใกล้ๆ ก่อน ค่อยเป็นค่อยไป (คิดทีละวัน สู้ทีละวัน เดี๋ยวรอดทุกวัน by พี่อ้อย) และต้องมีสติในทุกๆวัน ถ้าสติหายให้หาวิธีเรียกมันกลับมา ปัญหาบางอย่างวางไว้ก่อน ให้เวลาค่อยๆบอก สุดท้ายเวลาจะทำให้เราชิน บางครั้งการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือตามอาการก็ไม่แย่ไปซะทีเดียว

    – แล้วเราจะสื่อสารกับเจ้านายอย่างไร เมื่อมีความรู้สึกว่าลูกรักกลายเป็นเด็กเส้น คำตอบง่ายๆ ก่อนที่จะสื่อสาร ให้เราคิดก่อนว่าการพูดของเรานั้นมันช่วยเหลือทีม และการทำงานได้หรือไม่ หากการพูดนั้นเมื่อพูดไปแล้วไม่มีประโยชน์ ลองคิดดูใหม่ว่าแล้วหากเราเลือกที่จะปล่อยไปได้ เราสามารถไปโฟกัสอย่างอื่นแทนได้ โดยเฉพาะการทำงาน ทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ความถูกต้องปกป้องเรา พยายามทำงานอย่าให้มีข้อบกพร่อง การทำเช่นนี้จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย และสุดท้ายเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนตัวเราเองได้ หากสิ่งนั้นที่บุคคลอื่นเป็นไม่ได้กระทบกับตัวเรา เราลองวางปัญหานั้นไว้ แล้วลองถอยกลับมามองดูแล้วตอบคำถามตัวเองอีกครั้งว่าปัญหาในที่นี้เป็นปัญหาที่ต้องแก้ หรือแค่ยอมรับ

    – โดยปกติแล้วคนที่เป็นเจ้านายจะไม่ยอมรับว่าตัวเองมีลูกรัก แต่บุคลิกของบุคคลที่เจ้านายชอบคือ คนที่บอกอะไรไป สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดหวัง และมากกว่าที่คาดหวัง เป็นคนที่สามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา และระหว่างทางสามารถเล่าให้ฟังได้ และอาจจะเป็นคนที่เป็นพร้อมจะอาสาในเรื่องต่างๆ พร้อมเรียนรู้และพยายามที่จะลองทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาสามารถทำให้สมความไว้วางใจของเจ้านาย และที่ขาดไม่ได้ก็จะวนกลับมาที่การสื่อสาร ว่าระหว่างทางเข้าใจว่าทำอะไร ติดปัญหาแบบไหน แก้ไขอย่างไร มีอะไรให้ช่วย ไม่ถือตัวและพร้อมเอ๋ยปากเพื่อขอความช่วยเหลือ

    – คนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักของเจ้านายบางครั้งก็มีความกดดันอย่างหนักที่คนอื่นอาจจะไม่ได้รับรู้ด้วย เพราะอะไร นั้นก็เพราะถ้าหากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกรักทำบางอย่างผิดพลาด คนที่จะโดนก่อนก็คือคนที่เป็นเจ้านาย คนนอกจะมองว่า ”ยังไงคนนี้ก็ไม่โดนว่าหรอก ก็เป็นลูกรักนี้“ ยิ่งเป็นการโยนความกดดันไปที่บุคคลคนนั้น และด้วยความที่ว่าคนแบบนี้หากต้องทำงานใกล้ชิดเจ้านาย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องโฟกัสและพยายามทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ

    – นอกเหนือจากความเป็นลูกรักแล้ว ก็จะมีคนอีกประเภทนึงที่เรียกง่ายๆว่าลูกชัง คนแบบไหนที่เจ้านาย เรียกว่าจะมี bias เบื้องต้น คือจะต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยบางอย่างที่อาจจะเกิดในคนผู้นั้นและแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เช่น อาจจะไม่มีความเคารพผู้อื่นหรือ เคารพเจ้านาย สิ่งนี้ไม่ได้บอกว่าต้องทำความเคารพตลอด แต่คนที่ทำจะได้ใจคนอื่นกว่าอยู่แล้ว อาจจะเป็นคนที่มีแนวคิดที่ไม่ชอบความเห็นต่าง กร่าง พูดจาไม่ดีกับคนอื่น พูดแทรก และไม่ให้เกียรติกัน หรือเป็นคนที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันผู้อื่นได้ บุคลิกแบบนี้จะทำให้เรียกว่าเป็นที่หมายหัวของเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานได้ง่าย แต่การที่มีคนประเภทนี้อยู่สิ่งที่คนที่เป็นเจ้านายที่ดีจะต้องปฏิบัติก็คือ จะต้องพยายาม หาทางจัดการกับคนแบบนี้ ต้องดูว่างานแบบไหนเหมาะสมกับคนประเภทนี้นอกเหนือจากอุปนิสัยที่บอกไปก่อนหน้านี้ อีกนิสัยอย่างนึงของคนประเภทที่อาจจะเป็นลูกชัง ได้แก่ คนที่มักจะทำให้บรรยากาศในการทำงานหรือการประชุมเสียไป

    – สุดท้ายแล้วในบริบทการทำงาน คนที่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานชอบและอยากจะทำงานด้วย อาจจะเป็นคนที่ไม่ต้องแสดงออกว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร แต่เป็นคนที่พร้อมที่จะทำ พร้อมที่จะเรียนรู้ คนที่ถ่อมตัวเสมอ แม้กับคนที่สูงหรือต่ำกว่า และเป็นคนที่ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ

    แล้วคุณอยากจะเป็นลูกรักหรือลูกชังหรือถ้าจะให้เลือกขอได้เป็นลูกน้องก็เพียงพอ

  • HIGHER SELF [3]

    ตอนที่ 3 : กระบวนการฝึกฝน Higher Self และการปรับใช้ทำงานร่วมกับ Manifest

    ——————————————————

    💚

    หลังจากที่ใน 2 ตอนก่อนหน้านี้เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า Higher Self หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของเราคืออะไรกันแน่ ไปแล้ว รวมทั้งก็ได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง Higher Self กับ Manifest กันไปเรียบร้อยแล้วด้วย ทีนี้เราจะมาดูกันว่า แล้วการฝึกฝนเพื่อให้ภายในของตัวเราเตรียมพร้อมกับการเข้าสู่การเชื่อมต่อกับ High Self นั้นมีวิธีการแบบไหนกันบ้าง และต้องทำอย่างไร เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงตัวตนที่สูงส่งกว่านั้นได้

    ——————————————————

    ❤️

    อย่างที่ทุกท่านทราบเมื่อเราเข้าใจถึงพื้นฐานของ Higher Self และ Manifest แล้ว ในตอนท้ายเราจะมาลองดูกันว่า แล้วขั้นตอนต่อไปที่เราจะการฝึกและทำงานร่วมกับทั้งสองแนวคิดเพื่อพัฒนาตัวเองและสร้างชีวิตที่เราปรารถนาอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร ทั้ง 2 แนวคิดสามารถทำงานได้ด้วยกันจริงหรือไม่ เราลองมาหาคำตอบไปด้วยกันครับ

    ——————————————————

    กระบวนการฝึกฝน เพื่อเชื่อมต่อกับ Higher Self 

    อย่างแรกสำหรับการฝึกเชื่อมต่อกับ Higher Self นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลารวมถึงความอดทนต่อกระบวนการนั้นๆด้วย โดยวันนี้เราจะพยายามหยิบจับเทคนิคที่คิดว่า เมื่อนำมาใช้แล้ว สามารถต่อยอดได้ และสามารถนำมาปรับใช้ได้กับผู้อ่านทุกท่าน เป็นวิธีการที่คิดว่าง่ายต่อการฝึกฝนสำหรับผู้เริ่มต้น โดยมีด้วยกัน 3 เทคนิคดังนี้ครับ

    🌟

    ทุกท่านลองใช้เวลาเงียบ ๆ เพื่อทำการนั่งสมาธิ อยู่กับตนเอง กำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยความคิดที่วุ่นวาย และให้ร่างกายของเราได้ฟังเสียงจากภายในตัวของเราเอง เมื่อสภาพแวดล้อมเงียบสงบ ร่างกายได้อยู่คู่กับจิตใจ ภายในตัวเราได้ใกล้ชิดกับความเงียบสงบนี้เอง จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เราได้เข้าใกล้กับ Higher Self ได้มากขึ้น

    ☀️

    การเขียนบันทึกอย่างเป็นประจำเกี่ยวกับความรู้สึก นึกคิดของตัวเรา และความสงสัยที่เกิดขึ้นในบางช่วงเวลา รวมถึงคำถามที่เกิดขึ้นในขณะที่มีสมาธิกับตัวเรานั้นหรือที่มันเกิดขึ้นมาในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลาที่นึกได้ การที่เราได้จดมันลงไปในหนังสือ สมุด หรือแม้แต่ที่ใดสักที่หนึ่ง จะช่วยส่งเสริมให้ตัวตนของเราเชื่อมต่อกับความรู้สึกและความต้องการที่ลึกซึ้งภายในจิตใจของเราได้

    ✨

    ข้อนี้อาจจะบอกได้เลยว่าเป็นข้อที่ยากที่สุดในบรรดา 3 ข้อ และเป็นข้อที่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราพยายามเรียนรู้ และฝึกฝนกับ 2 ข้อที่ผ่านมาได้แล้ว นั้นคือการทบทวนตนเอง เมื่อเราได้อยู่กับตัวเอง จิตใจมั่นคงและมีสมาธิมากขึ้น จนมีคำถาม หรือความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นในจิตใจแล้ว ให้ลองใช้เวลาบางส่วน อยู่กับตัวเอง พยายามทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และปัจจุบันขณะที่เป็นอยู่นี้ ลองสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป และลองถามตัวเองว่า “สิ่งที่กำลังทำในตอนนี้คือสิ่งที่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของตัวตนของเราหรือไม่?” ไม่ต้องรีบหาคำตอบ ทบทวนและพยายามฝึกฝนตัวเองไปในทุกๆวัน สังเกตการเปลี่ยนแปลง แล้วสักวันใดวันหนึ่ง คำตอบที่เราตามหาจะออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และเราจะรู้ได้ด้วยตนเอง

    ——————————————————

    ที่นี้หลังจากรู้แล้วว่ากระบวนการของการฝึกฝน Higher Self มีวิธีการและเทคนิคอย่างไรแล้วคราวนี้มาถึงบทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้กันแล้ว 

    ——————————————————

    การนำ Higher Self มาใช้ร่วมกับ Manifest 

     หลังจากที่ทุกท่านได้ทดลองฝึกฝนเทคนิคข้างต้นไปกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราเชื่อมต่อกับ Higher Self ของตัวเองได้ ค้นพบคำตอบนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตั้งเจตนารมณ์ ความตั้งใจ สำหรับการ Manifest เพื่อสิ่งที่ทุกท่านปรารถนา ในกระบวนการนี้จะมีความหมายและพลังมากขึ้น เพราะตอนนี้เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราต้องการจากตัวตนของเรานั้นมาจากความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ความปรารถนาชั่วคราวหรือความคาดหวังจากภายนอกแค่นั้น ในครั้งนี้มันแตกต่างไปจากเดิม เราได้เรียนรู้และจะใช้กับแรงปรารถนานี้ โดยการที่ใช้ทั้ง Higher Self ตัวตนที่สูงส่งกว่า มาขับเคลื่อน Manifest สิ่งที่เราปรารถนา ซึ่งกระบวนการในบทสรุปสุดท้ายนี้จะมีเทคนิค หรือขั้นตอนดังนี้

    🙏🏻

     ความตั้งใจที่สอดคล้องกับ Higher Self : หลังจากที่เราค้นพบว่าเราต้องการอะไรจากชีวิตอย่างแท้จริงจาก Higher Self ทุกท่านสามารถใช้ความต้องการเหล่านั้นเพื่อ Manifest สิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของเราได้ เช่น การดึงดูดความสัมพันธ์ในที่ทำงานที่ดี / การทำงานที่สร้างความสุข / การมีชีวิตที่สมดุล / การมีเพื่อนรอบตัวที่ช่วยเหลือกันและกัน

    👑

     การแสดงภาพ Visualization : เป็นการคิดถึงภาพสิ่งที่เราต้องการในขณะที่เรามีสมาธิ ได้อยู่กับตัวเอง หรือเรียกว่าได้เชื่อมต่อกับ Higher Self เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมพลังให้กับการ Manifest จิตวิญญาณหรือภาพในร่างกายของเราจะตอบสนองความต้องการนั้น ที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความมั่นใจและความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ

    🧭

     ความเชื่อมั่น confidence : และท้ายที่สุด การสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่ Manifest จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม เพราะมันสอดคล้องกับตัวตนและเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเราเอง

    ——————————————————

    ⚡️

    สรุปสุดท้ายสำหรับผู้อ่านทุกท่าน

    ⚡️

    การฝึกเชื่อมต่อกับ Higher Self และการใช้พลังของ Manifest เป็นกระบวนการที่เสริมพลังกันและกัน เมื่อคุณรู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณและสิ่งที่คุณต้องการจากชีวิต การดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามาจะง่ายขึ้น และคุณจะสามารถใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความสมดุล และความสำเร็จที่แท้จริง

    ——————————————————

    👉
    👉
    👉

    ขอขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่านจนจบนะครับ ได้แต่หวังว่าทั้ง 3 ตอนที่ผ่านมาผู้อ่านทุกท่านจะได้รับความรู้ หรือเทคนิค ในการค้นหาตัวตนที่สูงส่งกว่า เพื่อสร้างแรงบันดาลใจที่จะสามารถไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของทุกท่านไม่มากก็น้อยนะครับ

    ขอให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งดีครับ
    สวัสดีครับ 

    🙏🏻

    #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า

    💛

    ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกท่าน 

    ❤️

  • HIGHER SELF [2]

    ตอนที่ 2 :  Higher Self  และ  Manifest ความเหมือนที่แตกต่างกัน

    ☀️

    หลังจากในตอนที่แล้ว เชื่อว่าทุกท่านผู้อ่านทุกท่าน น่าจะเริ่มเข้าใจแนวคิดของ 

    Higher Self หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของเรา ไปกันเรียบร้อยแล้ว

    ((หากยังไม่ได้อ่าน สามารถตามไปอ่านจาก #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า ได้นะครับ))

    ตอนนี้เชื่อว่าทุกท่าน อาจจะมีความสงสัยกันว่า แล้วหลักการของแนวคิด higher self นี้มันมีความเหมือนหรือแตกต่างจากแนวคิด ในการพัฒนาตัวเองอีกอย่างหนึ่งคือ Manifest อย่างไรบ้าง

    ——————————————————

    💜

    ซึ่งคำว่า Manifest 

    ถ้าเราแปลเป็นไทยในหลายๆบทความที่ไปศึกษา ก็จะแปลได้โดยรวมว่าเป็นการดึงดูดหรือสร้างสิ่งที่เราต้องการจากความคิดและเจตนารมณ์ แล้วทั้ง 2 แนวคิดมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร เราจะมาหาคำตอบไปด้วยกัน

    💞

    ก่อนอื่น ต้องให้ผู้อ่านทุกท่าน รับรู้และเข้าใจในส่วนของ หลักการแนวคิดของ Manifest กันก่อน ความหมายหรือนิยามของคำนี้จากบทความหลายๆที่หากนำมาย่อยรวมกัน จะหมายถึงกระบวนการที่ตัวของเราสามารถสร้างหรือดึงดูดสิ่งที่ตัวเราต้องการหรือปรารถนา ให้เข้ามาในชีวิตของเรา ผ่านจากความคิด ความเชื่อ และการตั้งเจตนารมณ์ที่ชัดเจน ซึ่งตัวหลักการนี้ จะบ่งบอกว่า เมื่อเรามุ่งมั่นในความคิดและพลังเชิงบวกที่ออกมาจากภายในของเรา สิ่งที่เราต้องการ จะถูกดึงดูดเข้ามาได้เสมอ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า

    กฎแห่งการดึงดูด (Law of Attraction) นั้นเอง

    ที่นี้ก่อนไปถึงความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิด เรามาทำความรู้จักเกี่ยวกับ กฎแห่งแรงดึงดูด กันดีกว่า

    ——————————————————

    กฎแห่งการดึงดูด (Law of Attraction)

    💛
    💚

    เพื่อที่เราจะได้เข้าใจบริบทของหลักการหรือแนวคิดทั้ง higher self และ manifest กันได้กระจ่างมากขึ้น เรามาทำความรู้จักกับ นิยามของคำนี้กันก่อนนะครับ จริงๆแล้ว กฏแห่งแรงดึงดูด คือแนวคิดที่เชื่อว่าพลังงานความคิดและความรู้สึกของมนุษย์สามารถส่งผลต่อประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในชีวิตได้ ทฤษฎีนี้อ้างถึงจักรวาลที่จะตอบสนองต่อความคิดและความเชื่อของมนุษย์ โดยที่จะพยายามดึงดูดสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือแม้แต่ผู้คนที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์ผู้นั้นคิดและรู้สึกเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือลบ แนวคิดนี้เสนอว่าการที่มนุษย์มุ่งเน้นความคิดเชิงบวก รวมทั้งการยืนยันตัวตนของตนเองนั้น สามารถช่วยให้บุคคลคนนั้นสามารถบรรลุเป้าหมายและสร้างชีวิตที่ต้องการได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันตัวของกฎแห่งการดึงดูดก็ยังเป็นที่ถกเถียงในแวดวงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน​​​​​​​​​​​​​​​​อยู่เหมือนกัน

    ——————————————————

    ความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิด

    ที่นี้เราจะมาดูว่าแล้วความแตกต่างระหว่าง 2 แนวคิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะครับ

    เริ่มต้นจาก Higher Self กันก่อน 

    ☀️

    หลักการและแนวคิดของ Higher self จะไปเน้นที่เรื่องของการค้นพบตัวตนที่แท้จริงจากภายใน รวมถึงเรื่องของการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของตัวตนเรา โดยจะเน้นไปที่การตระหนักรู้และการพัฒนาภายในมากกว่าการมุ่งสร้างสิ่งที่ต้องการหรือปรารถนาในโลกภายนอก

    🧘

    ถัดมาแนวคิด Manifest 

    🌕

    แนวคิดนี้จะเน้นการสร้างและดึงดูดสิ่งที่เราต้องการจากความคิดและพลังจิต โดยจะเน้นการใช้เจตนาและความเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ สุขภาพ เงินทอง ชื่อเสียง หรือแม้แต่ความรัก และอื่นๆตามที่ตัวตนของคนๆนั้นปรารถนา

    ——————————————————

    💚

     จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 แนวคิดมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แนวคิดหนึ่งเน้นไปเรื่องของการค้นพบตัวเองจากภายใน และอีกแนวคิดจะเน้นไปเรื่องของดึงดูดความปรารถนาภายนอก ซึ่งทั้ง 2 แนวคิดสามารถทำให้ตัวตนของคนๆหนึ่งสามารถหยิบจับ และนั้นไปปรับใช้ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ และอาจจะทำให้วิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางใหม่ๆ 

    🎧

    ——————————————————

    💜

     ซึ่งถ้าหากเรามองดีๆ คนๆหนึ่งสามารถที่จะนำเอาแนวคิดทั้ง 2 แนวคิดนี้ไปปรับใช้และให้ทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

    การเชื่อมต่อกับ Higher Self จะช่วยให้เรารู้ว่าเราต้องการอะไรจากชีวิตจริง ๆ เมื่อเราได้ยินเสียงจากจิตวิญญาณ เราจะสามารถตั้งเจตนาที่สอดคล้องกับสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ซึ่งจะทำให้กระบวนการ Manifest นั้นมีพลังและเกิดผลขึ้นได้อย่างแท้จริง

    ❤️

    แล้วต้องทำอย่างไร ในตอนถัดไปเราจะมาพูดถึงในเรื่องนี้กันอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ 

    #higherselfตัวตนที่สูงส่งกว่า

  • HIGHER SELF [1]

    ตอนที่ 1 : มาทำความรู้จัก Higher Self ตัวตนที่สูงส่งกว่า 

    ในชีวิตประจำวันของทุกคน มักจะมีช่วงเวลาที่เราทุกคนอาจจะคอยตั้งคำถามว่า “จริงๆแล้วตัวตนที่แท้จริงของเราคือใคร?” “เรามีจุดประสงค์อะไรในชีวิตนี้?” และ “สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วหรือไม่?” หากทุกท่านเคยสงสัยในคำถามเหล่านี้ มันอาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณๆท่านๆ อาจจะกำลังเริ่มต้นเส้นทางในการค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งของตัวตนของเรามากกว่าเดิม 

    🧚🏻‍♂️

    ——————————————————

    👉

    วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับคำว่า “Higher Self” หรือถ้าเป็นภาษาไทย ก็คือ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” 

    👈

    คำนิยามของ Higher self 

    จริงๆ แล้วความหมายจะเป็นในเชิงของแนวคิดที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งของตัวเราเอง เป็นตัวตนที่เต็มไปด้วยปัญญา ความสงบ และความรัก เป็นแหล่งที่มาแห่งความจริงแท้ภายในตัวเรา (อาจนิยามอีกอย่างว่าคือ ตัวเราเมื่อตอนเราเป็นเด็กทารก) 

    👼

    ซึ่งตัวเราจะมีความตระหนักรู้และมุมมองที่กว้างไกลกว่าความคิดในระดับปกติของเรา (เราในปัจจุบัน) หลายๆบทความที่ผมไปอ่านเพิ่มเติมได้บอกไว้ว่า จริงๆแล้วตัวตนของเราที่อยู่ในที่แห่งนี้ (มิติที่ 3 : ที่ท่านๆกำลังอ่านบทความนี้อยู่) เป็นเพียงเศษเสี้ยวของตัวตนที่แท้จริงของเรา 

    👨

    แล้วตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่ที่ไหน บทความที่ผมศึกษาเหล่านั้นได้บอกเอาไว้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราอยู่อีกมิติหนึ่งที่สูงกว่าที่เราจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งตัวตนของเราที่อยู่ที่นั้น แบ่ง part ส่วนหนึ่งออกมาเป็นเราคนนี้ เพื่อให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและพยายามหาความหมายของการมีตัวตนอยู่นั้นเอง ซึ่งถ้าหากเราๆทุกคน สามารถเชื่อมต่อ ตัวตนของเราที่กำลังอ่านบทความนี้ กับตัวตนที่สูงกว่า (Higher self) ที่อยู่ไกลจากที่แห่งนี้ไปได้แล้วละก็ เราอาจจะก้าวกระโดดทางความรู้สึกนึกคิด และสามารถเป็นตัวของเราใน version ที่ดีที่สุดได้เลยทีเดียว มันก็อาจจะเปรียบได้ หรือคล้ายๆจะเป็นเหมือนกับการฝึกพัฒนาจิต และการตระหนักรู้หรือเข้าใจในตัวตนของเราเอง 

    ❤️
    ❤️
    ❤️

    ——————————————————

    แล้วทำไมเราจึงควรเชื่อมต่อกับ Higher Self? 

    Answer

    การเชื่อมต่อกับ Higher self จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของชีวิตของเราเองในมุมที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เราอาจจะไม่เคยสัมผัส หรือได้เห็นมุมมองของชีวิตในด้านใหม่ๆ ซึ่งมันจะสามารถทำให้เราเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเราเอง ไม่ใช่แค่จากความปรารถนาชั่วคราว (ความอยากมี อยากได้) ที่จริงๆแล้วอาจมาจากสภาพแวดล้อมหรือแรงกดดันภายนอก(กิเลส ความต้องการ) แต่เพื่อให้แท้จริงแล้วเป็นการฝึก เพื่อให้เกิดเป็นการค้นพบตัวตนของตัวเราเอง และค้นหาความต้องการจากแก่นแท้ภายในจิตใจของเรา

    📝

    ยกตัวอย่างเช่น : คนที่มีความฝันอยาก ทะเยอทะยาน อยากจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน อยากเป็นใหญ่เป็นโต มีชื่อเสียงเงินทองมากมาย

    👉

    หากเมื่อได้ลองทำการฝึกจิต เชื่อมต่อกับ Higher self ของตัวเองได้แล้ว อาจจะค้นพบว่าความสำเร็จที่แท้จริงสำหรับตัวของเขา อาจจะไม่ได้หมายถึงเงินทองหรือชื่อเสียง

    แต่มันคือ การได้ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับคุณค่าของตัวเอง (การมีตัวตนอยู่) หรือการได้ช่วยเหลือและสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นก็อาจจะเป็นได้ อันนี้ยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพ ในแต่ละคนเราจะมีภาพ และตัวตนที่แตกต่างกันไปนะครับ

    ——————————————————

    ⏳

     เราจะเชื่อมต่อกับ Higher Self ได้อย่างไร? 

    ⏳

    Answer 

    การเชื่อมต่อกับ Higher self มักจะเริ่มจากการทำสมาธิ อยู่กับตัวเอง การพินิจพิจารณาตนเอง หรือแม้แต่การใช้เวลาทบทวนชีวิต (เช่นตอนอาบน้ำ เชื่อว่าทุกคนเป็นบ่อย เพราะเป็นตอนที่เรารู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด หรือแม้กระทั้งตอนก่อนนอน) ซึ่งอาจจจะช่วยให้เราได้ยินเสียงของตัวตนที่สูงส่งกว่า ที่มักจะซ่อนอยู่ภายในความวุ่นวายของจิตใจในชีวิตประจำวัน

    เมื่อเราเริ่มที่จะฟังและทำความเข้าใจ เราจะค่อยๆฝึกจิต แล้วเราจะสามารถก้าวข้ามความกังวลและความสงสัยในชีวิต เพื่อเข้าสู่การใช้ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยสติ และหากเราทำต่อเนื่องไปเลยๆ เราจะค่อยๆเชื่อมต่อกับ higher self ของตัวเราได้ แล้วเราจะค่อยๆเปลี่ยนไป จะรู้สึกสงบมากขึ้น หวาดระแวงน้อยลง เข้าใจตัวเองมากขึ้น และสุดท้ายจะมีสมาธิ และจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นนั้นเอง

    . . .จบเรียบร้อยหวังว่าตอนแรกของซีรีย์นี้จะทำให้ทุกท่านได้รับอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อยนะครับ 

    😀

    และในตอนหน้าเราจะมาศึกษาถึง ความแตกต่างระหว่าง

    ☀️

     Higher self และ Manifest

    ☀️

     

    ฝากติดตามด้วยนะครับ 

  • Visualization POWER BI

    สำหรับหน้าจอนี้จะเป็นผลงานที่ใช้ทั้ง dataset จริงในการทำงาน และ dataset จาก kaggle มาจำลองและสร้างหน้าตา Report เพื่อใช้ในการนำเสนอผ่านโปรแกรม POWER BI ครับ อาจจะไม่ได้ทำการอธิบายอะไรเยอะเหมือนหน้าจออื่นๆ แต่จะพยายามให้เห็นข้อมูลภาพรวม และข้อมูลที่เป็นส่วนสำคัญๆของ Report ครับ


    Work hard 💼
    Play harder 😉
    Learn hardest 📝

    Stay Focus 🎧


    ข้อมูลชุดแรก เป็นข้อมูลที่มาจากงานที่ทำจริง เป็นหน้าตาของ Report คะแนน ของพนักงาน เทียบราย Opeartion

    จากข้อมูล Report ด้านบน สิ่งที่ต้องการนำเสนอได้แก่

    • ข้อมูล Score เฉลี่ยของแต่ละ Operation เพื่อให้ผู้ดู Report เห็นภาพว่า Operation ใด คะแนนเฉลี่ยได้เท่าไหร่บ้าง Operation ไหนต้อง Improve เพิ่มเติม
    • ข้อมูล Score รายบุคคล สามารถเลือกดูคะแนนของพนักงานเป็นรายบุคคลได้ และสามารถเลือกเดือนที่ต้องการดูได้ โดยการกด Slicer (เลขเดือน) ทางด้านบนขวาได้
    • จำนวนพนักงานที่ถูกประเมิน ว่ามีจำนวนพนักงานที่อยู่ในแต่ละ Operationจำนวนเท่าไหร่
    • Score ภาพรวมเฉลี่ย ของทั้งหน่วยงาน เทียบเป็นรายเดือน

    ข้อมูลถัดมาจะเป็นข้อมูล dataset ที่นำมาจาก kaggle เพื่อจำลองข้อมูล ชนิดและข้อมูลของ Pokemon ตั้งแต่ Gen 1 – Gen 9

    จากข้อมูล Report ด้านบน สิ่งที่ต้องการนำเสนอได้แก่

    • แยกจำนวน Pokemon ตั้งแต่ Gen1 – Gen9 ตามเพศของ Pokemon พบว่าเพศหญิงจะมีจำนวนมากกว่าเพศชายในทุก Generation
    • เปรียบเทียบจำนวน Pokemon ที่อยู่ใน dataset ก้อนนี้โดยแยกเป็นแต่ละ Gen
    • จำนวน % การพัฒนาร่างของ Pokemon ในแต่ละประเภท Rate ของ Pokemon ทั้งหมดที่อยู่ใน dataset ก่อนนี้
    • ค่าเฉลี่ยของ speed ของค่า Attack / Defend และ ค่า base exp ของ Pokemon พิเศษ แยกตามชนิดของกลุ่ม Pokemon
    • ความสัมพันธ์ระหว่างประเภท Pokemon กับน้ำหนักและส่วนสูงของ Pokemon ประเภทนั้นๆ โดยแยกออกมาเป็น Clusters

    ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อมูลที่จำลองออกมาเพื่อการนำเสนอ หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

    ขอบพระคุณครับ ♥

  • MS EXCEL Visualization

    จากที่ทำการเก็บข้อมูลพนักงานที่ทำงานอยู่ในสังกัด Operation ให้บริการลูกค้าคอยตอบคำถามและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าทั้งหมด 8 เดือน ในปี 2024 ซึ่งทางทีมที่ผมดูแล เราจะมีการ sample case ของพนักงานแต่ละคนเพื่อดูวิธีการทำงาน การแก้ไขปัญหา แล้วทำการประเมินออกมาเป็น Score ในแต่ละเดือน

    เริ่มต้นจากการนับข้อมูลมาเรียงต่อกัน

    จากนั้นจะทำการ Group ข้อมูลออกมารวมกัน เป็นตารางตามสิ่งที่เราสนใจดังนี้

    ข้อที่ 1 :: ต้องการดูจำนวนพนักงานเพื่อเทียบกับจำนวนพนักงานที่ถูกประเมินว่า PASS ในแต่ละเดือน โดยเริ่มจากการทำตารางเปรียบเทียบ โดยใช้สูตรในการดึงข้อมูลจาก Raw data ที่เราเก็บรวบรวมมา

    จากนั้นจะทำการ PIVOT CHART ออกมา จะได้ข้อมูลดังนี้

      จากข้อมูลนี้สามารถสรุปได้ว่า

      ในแต่ละเดือนมีจำนวนพนักงานที่ถูกประเมินการทำงานมากขึ้น และยิ่งพนักงานมากขึ้น จำนวนพนักงานที่ผ่านการประเมินก็จะเริ่มลดลงอย่างมี นัยยะสำคัญ อาจจะบอกได้ว่า ยิ่งพนักงานมากขึ้นการดูแลพนักงานของหัวหน้างานอาจจะไม่ทั่วถึง แต่อย่างไรเราจะต้องไปดูข้อมูลของ Chart อื่นๆประกอบด้วย


      ข้อที่ 2 :: หาประเภทของพนักงานที่ถูกประเมินการทำงานในแต่ละเดือน โดยมีเงื่อนไขดังนี้

      • พนักงานใหม่ : อายุงานน้อยกว่า 4 เดือน หรือ 120 วัน
      • พนักงานมีประสบการณ์ : อายุงานมากกว่า 4 เดือน แต่ไม่ถึง 1 ปี
      • พนักงานที่ทำงานมานาน : อายุงานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป

      เราทำการใช้สูตรในการดึงข้อมูลจาก Raw data ที่เราเก็บรวบรวมมา เช่นเดียวกัน จะได้

      จากนั้นจะทำการ PIVOT CHART ออกมา จะได้ข้อมูลดังนี้

      จากข้อมูลนี้สามารถสรุปได้ว่า

      ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จำนวนพนักงานที่ทำงานมานานมีแนวโน้มค่อยๆต่ำลง และพนักงานที่มีประสบการณ์ที่เราคาดหวังว่าจะขึ้นเป็นพนักงานที่ทำงานมานาน ไม่ได้สูงขึ้นตามสิ่งที่คาดหวัง กลับกลายเป็นทาง Operation มีพนักงานใหม่ก้าวเข้ามาในทุกๆเดือน จากข้อมูลนี้ หากนำมารวมกับข้อมูลชุดแรก อาจจะตั้งสมมติฐานบอกได้ว่า แนวโน้มพนักงานที่ไม่ผ่านการประเมินในแต่ละเดือน คาดการณ์ว่าจะเป็นพนักงานที่เข้ามาใหม่ แต่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ เดี๋ยวเราจะต้องไปดูสรุปข้อมูลชุดสุดท้ายก่อน


      ข้อที่ 3 :: หาว่าประเภทพนักงานที่ไม่ผ่านการประเมินในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี แนวโน้มเป้นไปในพนักงานกลุ่มใดมากที่สุด

      เราทำการใช้สูตรในการดึงข้อมูลจาก Raw data ที่เราเก็บรวบรวมมา เช่นเดียวกัน จะได้

      จากนั้นจะทำการ PIVOT CHART ออกมา จะได้ข้อมูลดังนี้

      จากข้อมูลนี้สามารถสรุปได้ว่า

      พนักงานที่มีแนวโน้มไม่ผ่านการประเมินในแต่ละเดือน ช่วงต้นปี – กลางปีจะเป็นกลุ่มพนักงานที่มีประสบการณ์ และพนักงานเข้าใหม่ ส่วนช่วงเดือนท้ายๆ (ช่วงเดือน 7 – 8) จะมีพนักงานเก่าบางคน แต่พนักงานที่เข้ามาใหม่ส่วนใหญ่จะไม่ผ่านการประเมิน เราอาจจะต้องให้หัวหน้างาน Focus กับกลุ่มพนักงานกลุ่มนี้เป็นหลักก่อน

      จบไปเรียบร้อยนะครับสำหรับการทำ Pivot chart เพื่อการนำเสนอข้อมูลและรายงาน