
คาโตคนหนุ่ม คนเหล็กแห่งโรม![]()
. . .ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญาแล้วก็คิดว่าน่าจะเอาเรื่องราวบางตอนมาแชร์ให้ทุกคนได้ลองศึกษาแนวคิดไปพร้อมๆกันน่าจะดี ครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวจากหนังสือเล่มที่ชื่อว่า LIVES OF THE STOICS เป็นหนังสือที่บอกเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปรัชญาสโตอิก ผ่านช่วงเวลา วัฒนธรรม สงคราม การเมืองไปจนถึง มุมมองการใช้ชีวิต วิถีชีวิต ตั้งแต่อดีตอันยาวนาน ผ่านชีวิตของนักปราชญ์ชาวสโตอิกในสมัยนั้น ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น ทำให้เราสามารถไล่เรียงเหตุการณ์จากช่วงเริ่มต้น จนถึงจุดสิ้นสุดของ “ระเบียงทาสี” และการส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่นของแนวคิดอันทรงคุณค่าของลัทธิสโตอิกนี้ ได้ก่อให้เกิดนักปราชญ์ขึ้นมากมาย
และเป็นนักปราชญ์หนึ่งในนั้น ที่ผมได้อ่านแล้วอยากจะมาแชร์ข้อคิดที่ได้จากเขา ผู้เป็นนักปราชญ์ที่ใช้แนวทางของชาวสโตอิกผู้หนึ่ง เขาได้แสดงความกล้า ความเที่ยงธรรม ความห้าวหาญ ที่น้อยคนนักทั้งสมัยอดีต และปัจจุบันจะมีได้
นักปราชญ์ผู้ที่ได้ชื่อว่า คนเหล็กแห่งโรม นามของเขา “มาคัส พอร์ซิอัส คาโต“ ผู้เยาว์ หรือ (Cato the Younger) นักปราชญ์ นักการเมืองผู้ไม่ยอมก้มหัวให้กับ จูเลียส ซีซาร์ และต่อไปนี้คือแนวคิดที่ได้จากเขา

การกระทำสำคัญไม่แพ้การพูด ![]()
ชีวิตของคาโตตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เป็นบุคคลที่หากเทียบกับนักปราชญ์ผู้อื่นแล้ว คาโตจะไม่ได้แสดงออกทางการพูด การเขียน หรือ แม้กระทั่งการสอนผู้อื่น แบบนักปราชญ์คนอื่นๆเมื่อครั้งอดีตมากนัก
แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับคาโต คือ การแสดงออกผ่านทางการกระทำ เพื่อให้ผู้อื่นเห็นแนวคิดและตัวตนของเขาเสียมากกว่า
เคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับทหารที่สังกัดอยู่ภายใต้การบัญชาการของลุงของคาโต มุ่งมั่นที่จะให้คาโตเมื่อครั้งเป็นเด็กช่วยพูดกับลุงเกี่ยวกับความเป็นพลเรือน
แต่สิ่งที่คาโตในวัยเด็กทำคือ ไม่สนใจ เมื่อมีท่าทีแบบนั้นทหารคนนั้นเลยพยายามจะขู่ให้กลัว แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือเด็กน้อยผู้นี้กลับไม่กลัวแต่อย่างใด แถมยังจ้องตาไม่กระพริบไปหาทหารผู้นั้น ก่อนที่จะถูกจับห้อยหัว แต่กระนั้นแล้วก็ยังไม่ยอมปริปากหรือพูดอะไรออกไป ทำให้ทหารผู้นั้นรู้สึกพ่ายแพ้ จนกล่าวกับตนเองและเด็กน้อยว่า “หากในโรมมีแต่คนแบบนี้ก็คงขู่ใครไม่ได้แล้ว” นั้นเป็นครั้งแรกที่คาโตแสดงให้คนอื่นเห็นถึงการกระทำอันแน่วแน่และไม่เกรงกลัวผู้ใด
—————————————————————
อารมณ์ร้อนชั่ววูบคือภัยร้าย![]()
ในช่วงเข้าสู่วัยเรียน คาโตเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ช้าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แต่สิ่งที่สำคัญเลยคือแม้จะเรียนรู้ช้าแต่คาโตเอง ก็เป็นเด็กที่จดจำได้อย่างแม่นยำ สิ่งไหนที่ได้ผ่านการเรียนรู้จากเด็กคนนี้ไป เขาสามารถจำมันได้แม่นราวกับศึกษามาเป็นร้อยๆรอบ เรียกได้ว่าเป็นความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก
หากจะบอกว่านอกจากความจำที่เป็นเลิศแล้ว สิ่งที่คาโตมีมากกว่าเด็กคนอื่นคือเรื่องของความห้าวหาญ หรือเรียกว่าความอารมณ์ร้อนก็ได้
เคยมีครั้งหนึ่งที่คาโตสอบถามคุณครูผู้สอนว่า “เหตุใดผู้คนถึงต้องนำของขวัญไปมอบให้กับนักการเมืองผู้หนึ่ง” คุณครูได้ตอบว่า “ที่คนผู้นั้นได้รับเกียรติขนาดนี้ไม่ใช่เพราะมีคนรักเท่านั้น แต่มีประชาชนบางส่วนที่หวาดกลัวเขาเช่นกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นคาโตจึงตอบไปว่า “แล้วเหตุใดท่านไม่มอบดาบให้ข้า ข้าจะได้ปลดปล่อยประเทศชาติจากการเป็นทาสอย่างไรเล่า!”
จะเห็นได้ว่าคาโตมีความอารณ์ร้อน แบบตรงไปตรงมา ในส่วนนี้เองอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณครูพยายามพาคาโตไปรู้จักกับ สโตอิกเพื่อหวังว่าเด็กคนนี้จะได้เรียนรู้ปรัชญา และศาสตร์อื่นๆเพื่อนำพามาถึงความรู้จักควบคุมอารมณ์ และความคิดของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดถูกมากๆ
เพราะในท้ายที่สุดลัทธิสโตอิก ก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยนำพาให้คาโตได้พบกับความเจริญรุ่งเรืองของอาชีพบนเส้นทางแห่งยุคสมัยของการล่มสลายของประเทศและทำให้คาโตผู้นี้เป็นนักปราชญ์ และนักการเมืองผู้มีอิทธิพลต่อผู้คนได้มากมายในอนาคต
—————————————————————
วาทศิลป์ก่อให้เกิดความเชื่อไม่เดียวดาย ![]()
เมื่อได้ศึกษาเกี่ยวกับลัทธิสโตอิกแล้ว คาโตก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์ทางด้านวาทศิลป์ด้วย เพราะเขาอยากที่จะพูดเพื่อให้ผู้อื่นเขาใจในสิ่งที่เขาทำด้วย
แต่เดิมอย่างที่เรารู้ๆกัน คาโตเป็นบุคคลที่ชอบกระทำมากกว่าการพูด โดยเขามีหลักคิดไว้เช่นนี้ว่า “ข้าจะเริ่มพูด ก็ต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่จะพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เงียบเอาไว้จะดีกว่า”
การศึกษาศาสตร์ด้านวาทะศิลป์นี้เองได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนตัวเขาเพื่อแสดงออกถึงความยุติธรรมทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในขณะนั้น และด้วยอุปนิสัยอันแน่วแน่ของเขาทำให้มีผู้คนเชื่อถือและยกย่องคาโตผู้นี้ด้วยเช่นเดียวกัน
—————————————————————
ความเที่ยงธรรมสุดท้ายนำพาสู่ความเจริญ ![]()
หลังจากที่เข้าสู่แวดวงทางการเมืองในสมัยนั้นได้แล้ว คาโตยังคงสร้างนิสัยความแน่วแน่อยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่มาถึงที่ทำงานคนแรกของวัน และยังเป็นคนสุดท้ายที่กลับด้วยเช่นกัน
เขาสร้างความซื่อตรงให้ผู้คนเห็นมามากมาย เขาเป็นบุคคลที่ไม่ยึดติดกับสิ่งของราคาแพง ความหรูหรา และความฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เป็นบุคคลที่ตรงไปตรงมา และห้าวหาญในแบบที่หายากมากในสมัยก่อน
มีคำพูดที่ว่า “เราทุกคนไม่อาจะเป็นคาโตได้ทุกคน” คำพูดนี้เป็นตัวบอกว่าความเป็นคาโตนั้น หาได้ยากขนาดไหนสำหรับสมัยอดีต หรือแท้จริงแล้วอาจจะหายากในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน ความยุติธรรมและความซื่อตรงของคาโต นำพาให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองแบบเติบโตอย่างรวดเร็ว
เมื่อครั้งอายุได้ 30 ปี ก็สามารถลงชิงตำแหน่งในวุฒิสภา และเอาชนะคู่แข่งมาได้ สิ่งที่คาโตเป็นนั้นสร้างความรู้สึกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนหมู่มากได้ก็จริง หากแต่ความเข้มงวดและความซื่อตรงนี้เองก็ย่อมสร้างศัตรูเช่นเดียวกัน
—————————————————————

ความเป็นกลางสร้างได้ไม่มีหมด ![]()
หลังจากที่ทำหน้าที่ของตนเองมีได้สักระยะหนึ่งตามแนวคิดและอุปนิสัยที่เป็นกลางต่อทุกสิ่งไม่เอนเอียง เขาสามารถใช้ชีวิตหรูหราได้ตามสบาย แต่คาโตไม่ทำแบบนั้น เขายังคงทำเหมือนผู้อื่นทั่วไป เดินไปตามท้องถนน ช่วยเหลือผู้ยากลำบาก ชื่อเสียงไม่ได้สำคัญ เท่ากับการทำความดี
“แม้จะเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่นานเราจะลืมมัน ในขณะที่ผลลัพธ์ของการทำดี จะไม่หายไปตราบเท่าที่เรายังอยู่” คาโตเชื่อว่างานของเขา คือการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และนำพาประเทศชาติให้ผ่านยุคสมัยที่สุ่มเสี่ยงจะล่มสลายนี้ไปให้ได้ เพราะนักการเมืองทุจริต และหลงมัวเมากับชื่อเสียงเงินทองในยุคนี้ทั้งหลาย
คาโตเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่เมื่อกระทำอะไรไป ผู้คนมักจะมองการแสดงออกของเขาอย่างทรงพลัง เขาจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง แต่เขากำลังฝึกฝน ที่จะสร้างภูมิต้านทานให้กับตัวเอง เมื่อต้องเผชิญทางเลือกที่สุขสบาย เขากลับเลือกให้ความยุติธรรมนำทางเขาไปในเส้นทางที่เขาเลือกไว้แล้ว
แม้ผู้อื่นจะเลือกเส้นทางที่ตักตวงผลประโยชน์ให้กับตัวเองได้ แต่คาโตเลือกที่จะยุติธรรม เที่ยงธรรม และพยายามสร้างความตรงไปตรงมา ที่จะเป็นบ่อเกิดของการแตกหักระหว่างตัวเขากับคนบางกลุ่มในอนาคตอันใกล้
—————————————————————
ซื่อตรงหัวขบถต่อผู้มีอำนาจล้น ![]()
หลังจากที่ทำงานรับใช้ประเทศชาติมาได้ระยะหนึ่งก็ถึงยุคสมัยของการปกครองของ จูเลียส ซีซาร์ ผู้ที่มีแนวคิดการปกครองประเทศชาติตรงกันข้ามกับคาโตเกือบๆจะทั้งหมด
หากเปรียบเทียบบุคคล 2 คนนี้ อาจจะบอกได้ว่า “ซีซาร์ มุ่งมั่นทำงานหนักและตื่นตัวอยู่เสมอ เขาไม่ปฏิเสธสิ่งใดก็ตามที่มีค่าคู่ควรให้รับไว้ เขาปรารถนาอำนาจ กองทัพ และสงคราม ตรงข้ามกับคาโต เขาฝึกฝน ควบคุมตนเอง เขาไม่แข่งกับใคร ไม่ปรารถนาอะไร เคร่งครัดกับการทำความดีเพื่อส่วนรวม”
การปกครองในยุคของ จูเลียส ซีซาร์ผู้นี้ คาโตแทบจะทำตัวเป็นหอกข้าวแคร่ ต่อต้านแนวคิดของซีซาร์และผู้นำร่วมอีกสองคน เขาขัดแย้งกับความทะเยอทะยาน และเผชิญกับความชั่วร้ายที่ก่อเกิดจากผู้นำ ด้วยตัวของเขาคนเดียว เขาพยายามที่จะชะลอการล่มสลายของประเทศชาติอย่างเต็มที่เท่าที่มือของชายคนหนึ่งจะฉุดรั้งไว้ได้
—————————————————————
เปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรด้วยความเป็นคน ![]()
หลังจากการแตกหักกันของทั้งสามผู้นำของยุคนี้ บุคคลที่เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำ นามว่า ปอมเปย์ ได้ถอยห่างออกมาจากซีซาร์ แล้วมาร่วมกับคาโต เพื่อคาดหวังว่าจะพลิกฟื้นประเทศชาติให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนเก่า แม้ก่อนหน้านั้นทั้งคู่จะเคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ท้ายที่สุดหากต้องทำเพื่อประเทศชาติก็มองความเป็นพลเมือง และความเป็นคนของประเทศหันหน้าเข้ามาร่วมต่อสู้กัน
นอกจากนั้น ปอมเปย์ เคยคิดจะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการให้กับคาโต แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์การเมืองเขาไม่อยากให้ คาโตผู้นี้มีอำนาจมากจนเกินไป จึงได้ยกเลิกคำสั่งนั้นทิ้งไป
แต่ถึงกระนั้นคาโตก็ไม่ได้ทุกข์ร้อน และไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมา แถมยังเป็นผู้ที่ออกมาพูดเรียกขวัญกำลังใจให้กับกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเมืองด้วยซ้ำ เราจะเห็นได้ว่า คาโตแม้จะมีความห้าวหาญ และแข็งก้าว ก็เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะการณ์บางอย่างที่ผู้คนรอบตัวต้องการกำลังใจ หรือแม้แต่การยอมทิ้งความบาดหมางเอาไว้ และร่วมมือกับคนที่เคยเป็นศัตรูเพื่อประเทศชาติบ้านเกิด
—————————————————————
อย่าสับสนตั้งมั่นในตัวเอง ![]()
หลังจากที่สงครามระหว่าง 2 ขั่วอำนาจที่ฝ่ายหนึ่งนำโดย จูเลียส ซีซาร์ และอีกฝ่ายนำโดย มาคัส คาโต จบลงพร้อมด้วยชัยชนะของฝ่ายแรก คาโตและกองทัพที่รอดชีวิตได้หนีไปยังแอฟริกาเหนือด้วยความหวังว่าจะได้สู้ต่อไป
แต่ทว่าชัยชนะมันได้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ใช่ของพวกเขา หลังจากรู้ว่าชัยชนะไม่บังเกิดแก้ฝ่ายตน คาโตได้ยืนขึ้นแล้วพูดกับวุฒิสมาชิกและเจ้าหน้าที่ ที่เคียงข้างเขาไว้ว่า “บัดนี้ ถึงเวลาที่ทุกท่านจะกลับไปหา ซีซาร์ เพื่อร้องขอความเมตตา แต่ข้าขอเพียงสิ่งหนึ่ง สิงเดียวนั้นคือ อย่าขอร้องแทนข้า อย่าขออภัยโทษให้ข้า”
เขาเชื่อว่าเขาไม่ได้แพ้ เขาชนะซีซาร์ในเรื่องของเกียรติยศ และความยุติธรรม เขาได้ยืนหยัดเพื่อปกป้องประเทศของตัวเองอย่าเต็มที่แล้ว
หลังจากค่ำคืนนั้น คาโตได้ขอดาบอันแหลมคมประจำตัวของเขามาไว้ในครอบครอง และได้กล่าวคำพูดแก่ตนเอง เขากล่าวไว้ว่า “ตอนนี้ข้าเป็นนายของตัวข้าเองแล้ว”
หลังจากงีบหลับไป ผ่านเข้าสู่เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คาโตได้อยู่ตามลำพังและหลังจากนั้นเขาได้ทำสิ่งที่ตนเองใตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว คาโตชักดาบออกมาแล้วหลังจากนั้นเขาได้เขาทำการใช้ดาบเล่มนั้นแทงเข้าที่อกตัวเอง และจากนั้นเขาก็ได้สิ้นใจเสียชีวิตลงในวัย 49 ปี เป็นช่วง 46 ปีก่อนคริสตกาล การตายของเขาเป็นที่สรรเสริญของบุคคลร่วมสมัย ทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้กับเหล่าคนรุ่นหลังอีกด้วย

. . . จะเห็นได้ว่าชีวิตของนักปราชญ์ นักการเมือง ของ มาคัส คาโต ผู้นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แม้จะเติบโตจากครอบครัวที่สร้างฐานะมาแล้วเมื่อครั้งอดีต แต่ด้วยอุปนิสัย และแนวทางการดำเนินชีวิตนี้เอง ทำให้เขาผู้นี้เติบใหญ่จนเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามอีกคนในยุคสมัยนั้น
หวังว่าแนวคิด และข้อคิดนี้จากนักปราชญ์ผู้นี้จะมีประโยชน์กับทุกท่าน และสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตของทุกท่านได้
ขอให้พรเจ้าอวยพรทุกท่าน ![]()
Leave a comment